ข้อความต้นฉบับในหน้า
ชนิดที่ 1 เป็นความรักใคร่ชื่นชม ปรารถนาดีแท้จริง ไม่มีการยึดถือว่าผู้ที่เราคิดแผ่ความ
ปรารถนาดีรักใคร่ให้นั้นมีความสัมพันธ์อย่างใดกับเรา เช่นเป็นบิดา มารดา บุตร ธิดา ภรรยา สามี ญาติ
พี่น้อง เพื่อน ผู้ร่วมงาน ผู้ร่วมอาชีพ ฯลฯ เมื่อไม่มีการยึดถือ แม้บุคคลเหล่านี้จะย้ายไปไกลห่างจากเรา เรา
ก็ไม่รู้สึกเดือดร้อน คงนึกให้เขาไปอยู่ดีมีสุข ไม่ว่าจะไปอยู่ ณ ที่แห่งใด
ชนิดที่ 2 เป็นความรักใคร่ชื่นชมที่มีการยึดถือว่าผู้นั้นผู้นี้ที่เรารักใคร่นั้น เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์
เกี่ยวข้องในฐานะดังนั้นดังนี้กับเรา แยกจากกันไปจะรู้สึกไม่สบายใจ เสียใจ สภาวะของจิตใจที่มีความรัก
ใคร่ชนิดนี้ ไม่ใช่จิตใจที่ประกอบด้วย ความไม่โกรธ แต่เป็นจิตใจที่ประกอบด้วยอำนาจของโลภะ เมตตา
ชนิดนี้จึงไม่ใช่เมตตาบริสุทธิ์เหมือนข้อแรก เป็นเมตตาเทียม แต่อย่างไรก็ดีแม้จะเป็นเมตตาเทียมก็มี
ประโยชน์มาก เมื่อปฏิบัติอยู่บ่อยๆ จะเป็นกำลังอุดหนุนให้ปฏิบัติเมตตาแท้ได้ง่ายขึ้น
ในการแผ่เมตตามีข้อควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. ละเว้นคนที่ไม่ควรนำมาเป็นอารมณ์ในการแผ่เมตตา
1) คนที่ไม่รัก (ไม่ชอบใจ) และคนที่รักมากเป็นพิเศษ คนที่รู้สึกเฉยๆ ไม่รักไม่ชัง และคนที่ถึงขั้น
เป็นศัตรูกัน คนทั้ง 4 ประเภทนี้ ไม่ควรนึกแผ่เมตตาให้ก่อนบุคคลประเภทอื่น ด้วยเหตุผลดังนี้ คือ
คนที่ไม่เป็นที่รัก เมื่อไปนึกถึงก่อน จิตใจของผู้ปฏิบัติจะรู้สึกขุ่นหมอง ไม่สบายใจ อึดอัดขัดข้อง
คนที่รักมากเป็นพิเศษ เมื่อนำมานึกถึงก่อน หากผู้นั้นกำลังมีความทุกข์ยากลำบากประการใดอยู่
แม้แต่เป็นทุกข์เพียงเล็กๆ น้อยๆ ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกเป็นทุกข์ เดือดร้อนไปด้วยทันที ถ้าแผ่เมตตาให้คนที่รู้สึก
เฉยๆ ไม่รักไม่เกลียด จิตใจจะไม่เบิกบาน ไม่มีกำลัง เพราะคนพวกนี้ไม่มีคุณธรรมให้รู้สึกเคารพรัก อันเป็น
เหตุให้เมตตาจิตเกิด ถ้าแผ่เมตตาให้แก่คนที่เป็นศัตรู มีเวรต่อกัน โทสะจะเกิดนำหน้าทันที ข่มจิตให้เกิด
เมตตาได้ยากลำบากยิ่ง
2) คนที่มีเพศตรงข้ามกับผู้ปฏิบัติ โดยเฉพาะที่ไม่ใช่ญาติสนิท ไม่ควรนึกแผ่เมตตาให้โดยเจาะจง
เฉพาะตัว เพราะราคะอาจจะเกิดขึ้น
3) คนที่ตายไปแล้ว การแผ่เมตตาให้คนที่ตายไปแล้ว นำมาเป็นอารมณ์ในการทำสมาธิไม่ได้ เพราะ
ไม่สามารถทำอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ให้เกิด จึงเป็นการแผ่เมตตาที่ไร้ประโยชน์
2. กำหนดคนที่ควรแผ่เมตตาให้ก่อน คือ
1) ควรแผ่เมตตาให้ตนเองก่อน เพื่อใช้เป็นสักขีพยานว่า ตนเองปรารถนาความสุข เกลียดชัง
ความทุกข์ ผู้อื่นก็เป็นเช่นเดียวกัน ทั้งการแผ่เมตตาแก่ตนเองก่อนผู้อื่น ยังทำจิตใจให้เกิดความแช่มชื่นยินดี
ทั้งนี้เพราะความรักต่อสิ่งอื่นๆ แม้จะมีมากเพียงใด ก็ไม่เหมือนความรักตนเอง
เมื่อนึกถึงตนเองก่อน ความปรารถนาในความสุข กลัวความทุกข์ อยากอยู่สบาย อายุยืน
ไม่อยากตาย ฯลฯ ย่อมเกิดมีมากขึ้นเป็นพิเศษ ทำให้เมตตาจิตเกิดขึ้นได้ง่าย เกิดแล้วตั้งมั่นอยู่ได้มั่นคง เมื่อ
บ ท ที่ 3 พ ย า บ า ท และ วิ ธี แก้ไข DOU 37