ข้อความต้นฉบับในหน้า
อยู่แน่
70 ต า ม ร อ ย พ ร ะ ม ง ค ล เ ท พ ม นี
พระองค์จึงมาศึกษาศาสตร์ที่จะนำไปสู่หนทางที่พระองค์แสวงหา และได้ตั้งใจปฏิบัติ
จนเป็นที่ยอมรับของอาจารย์ที่สั่งสอนว่าสิ้นภูมิความรู้ของอาจารย์แล้ว แต่พระองค์ก็ยัง
หาค้นพบหนทางที่พระองค์ปรารถนาไม่ จนกระทั่งออกบำเพ็ญทุกรกิริยานาน 5 ปี ดัง
ประวัติชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราท่านทั้งหลายคงเคยได้รับรู้มาบ้าง
เมื่อทรงพบว่าวิธีการเหล่านั้น ไม่สามารถจะนำไปสู่ความหลุดพ้นดังที่พระองค์
ทรงมุ่งหวังได้เลย
วันหนึ่ง หลังจากที่ผ่านการทรมานพระวรกายมาอย่างอุกฤษ จนสลบสิ้นสติไป
เมื่อได้ฟื้นคืนสติกลับขึ้นมาอีกครั้ง วันนั้นท่านได้ยินเสียงพิณที่ดีดด้วยสายที่หย่อนเกินไป
ตึงเกินไป และพิณที่ตั้งสายไว้อย่างพอดี ท่านจึงได้เกิดความคิดว่าทางที่หย่อนเกินไป
หรือตึงเกินไป ไม่ใช่ทางหลุดพ้น ทางหลุดพ้นต้องเป็นทางที่พอดี เป็นกลางๆ
เรามาเริ่มศึกษากันตรงนี้ ในขณะที่พระสิทธัตถะราชกุมารเสด็จออกบวช แล้ว
ได้เริ่มตั้งแนวคิดใหม่ว่า ทางหลุดพ้นต้องเป็นทางสายกลาง ไม่ทิ้งไป และก็ไม่หย่อนไป
พระองค์ทรงทำอย่างไรบ้าง หลังจากที่มีแนวความคิดอย่างนี้แล้ว
พระองค์ทรงเริ่มหยิบบริขาร ที่พอจะนำไปภิกขาจารได้บ้าง เดินออกไปเพื่อรับ
อาหารมาบำรุงร่างกายให้สมบูรณ์
ในวันตรัสรู้พระองค์ได้รับข้าวมธุปายาส ซึ่งเป็นข้าวปรุงรสที่สมบูรณ์ด้วยคุณค่า
ทางโภชนาหารอย่างดียิ่งจากนางสุชาดา บริโภคบำรุงร่างกายดีแล้ว ร่างกายมีความ
สดชื่น สมบูรณ์ และหลังจากได้รับฟอนหญ้าจากพราหมณ์ผู้หนึ่งมาปูลาดภายใต้โคนไม้
พระศรีมหาโพธิ์แล้ว พระองค์ทรงประทับนั่ง ขัดสมาธิคู่บัลลังก์ พร้อมทรงตั้งสัจจะ
อธิษฐานว่า
“แม้เลือดและเนื้อ จะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่กระดูก หนัง ก็ตามที หากไม่
บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จะไม่ลุกจากที่นี้เป็นเด็ดขาด”
หลังจากนั้น พระองค์ก็ดำเนินจิต ฝึกใจของท่านไปจนกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องราวในตอนนี้ไม่พบรายละเอียด ที่บอกถึงวิธีการปฏิบัติในการฝึก
ใจของพระองค์ท่านตามเส้นทางสายกลางว่าทรงทำอย่างไร