ข้อความต้นฉบับในหน้า
130 ต า ม ร อ ย พ ร ะ ม ง ค ล เ ท พ ม นี
ไตรปิฎก ในขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เรื่อง วงศ์พระโคดมพุทธเจ้า อีกครั้ง
ในที่นี้จะขอย่นย่อมาเพียงว่าในคืนนั้นมารได้มากันเป็นอันมาก เรียกกันว่ายกมา
เป็นกองทัพ จนเทวดา พรหม อรูปพรหมไม่สามารถจะมาอยู่เคียงข้างพระองค์ได้ คง
เหลือเพียงพระสิทธัตถะราชกุมารผู้กำลังบำเพ็ญเพียร เพื่อการตรัสรู้เป็นพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าอยู่เพียงลำพังพระองค์เดียว เรื่องมีกล่าวไว้ว่า
“ครั้งนั้น มารคิดว่าจักยังพระสิทธัตถะให้กลัว แล้วหนีไป แต่ไม่อาจ
ให้พระโพธิสัตว์หนีไปด้วยฤทธิ์มาร ๙ ประการ คือ ลม ฝน ก้อนหิน เครื่อง
ประหาร ถ่านไฟ ไฟนรก ทราย โคลน ความมืด มีใจทิ้งโกรธ
บังคับหมู่มารว่า
“พนาย พวกเจ้าหยุดอยู่ไย จงทำสิทธัตถะให้ไม่เป็นสิทธัตถะ จง
จับ จงฆ่า จงตัด จงมัด จงอย่าปล่อย จงให้หนีไป”
ส่วนตัวเองนั่งเหนือคอคชสาร ชื่อคิรีเมขละ ใช้กรข้างหนึ่งกวัดแกว่ง
ศรเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“ท่านสิทธัตถะ จงลุกขึ้นจากบัลลังก์”
ทั้งหมู่มารก็ได้ทำความบีบคั้นร้ายแรงยิ่งแก่พระมหาสัตว์ ครั้งนั้น
พระมหาบุรุษตรัสคำเป็นต้นว่า
“ดูกร มารท่านบำเพ็ญบารมีเพื่อบังลังก์มาแต่ครั้งไร”
5
แล้วทรงน้อมพระหัตถ์ขวาสู่แผ่นปฐพี ขณะนั้นนั่นเอง ลมและน้ำที่
รองแผ่นปฐพี ซึ่งหนาหนึ่งล้านหนึ่งหมื่นสี่พันโยชน์ก็ไหวก่อน ต่อจากนั้น
มหาปฐพีนี้ ซึ่งหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์ ก็ไหว 5 ครั้ง สายฟ้าแลบและ
อสนีบาตหลายพันเบื้องบนอากาศก็ผ่าลงมา ลำดับนั้นช้างคิรีเมขละก็
คุกเข่า มารที่นั่งบนคอคิรีเมขละ ก็ตกลงมาที่แผ่นดิน แม้พรรคพวก
ของมารก็กระจัดกระจายไปในทิศใหญ่ทิศน้อย เหมือนกำแกลบที่กระจาย
ไป ฉะนั้น”
ครั้นพระสิทธัตถะราชกุมารเอาชนะมารในครั้งนั้น และได้ตรัสรู้แล้ว มารก็หาได้
หมดไปไม่ หลังการตรัสรู้ของพระองค์ได้ ๔ สัปดาห์ ในขณะที่พระองค์ประทับอยู่ใน