ข้อความต้นฉบับในหน้า
ต า ม ร อ ย พ ร ะ ม ง ค ล เ ท พ ม นี 161
และหนทางไปนิพพานเท่านั้น ส่วนเรื่องเป้าหมายที่ท่านจะไปให้ถึง ณ จุดที่เอาชนะมาร
พ้นการแก่การตายนั้น เทศน์ให้คนทั่วไปฟังไม่ได้ ท่านใช้คำว่าจะถูกนัตถุ์ยา หรือในภาษา
ปัจจุบันอาจจะพูดว่าถูกฉีดยา หรือถูกจับเข้าโรงพยาบาลบ้าไปถูกฉีดยาที่นั่นนั้นเอง จะ
มีก็แต่เพียงพวกที่ทำวิชชาอยู่ในโรงงานทำวิชชาเท่านั้น ที่คุยกันในเรื่องนี้ได้ หลวงพ่อ
ได้กล่าวไว้ใน เรื่อง ปัพพโตปมคาถา เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๙๗ ว่า
“ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา อยู่วัดปากน้ำก็จริง แต่ไม่รู้ว่า
สมภารวัดปากน้ำทำอะไร นี่ อัศจรรย์นัก อยู่ด้วยกันตั้งหลายสิบปี
(ผู้เทศน์)อยู่วัดปากน้ำทำวิชชานี้ ๒๒ ปี 6 เดือน ๙ วัน วันนี้ไม่มีใครรู้
ว่าทำอะไร รู้แต่นิดๆ หน่อยๆ รู้จริงจังลงไป ไม่มี มีก็ผู้ที่ทำวิชชาด้วยกัน
รู้จริงเห็นจริงกันลงไปทีเดียว ทำอยู่ทุกวันๆ นั่นละ ก็รู้จริงเห็นจริง นี่
เป็นวิชชาลึกอย่างนี้”
การไปให้ถึง “ที่สุด” ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย ผู้สร้างบารมีในสายนี้นอกจากจะมีวิธีการ
พิเศษ คือการรวมตัวของผู้ที่ได้เข้าถึงธรรมกายทำงานทางจิต ตลอด ๒๔ ชั่วโมง แล้ว
การสร้างบารมีของผู้ที่จะเข้ามารวมปฏิบัติงานทางจิต จึงน่าจะแตกต่างไปจากการสร้าง
บารมีของนักสร้างบารมีที่ผ่านมาด้วย
ในพระไตรปิฎก เรื่องเกี่ยวกับ “พุทธวงศ์” (สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย) เป็นการ
อธิบายถึงพระพุทธเจ้าในอดีตที่ผ่านๆ มาว่ามีชื่ออะไร มีประวัติการสร้างบารมีมาอย่างไรบ้าง
เป็นที่น่าแปลกว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ล้วนแล้วแต่ได้อภิเษกสมรส(แต่งงาน) จนกระทั่ง
มีพระราชโอรสได้ ๑ คน แล้วจึงออกบวชด้วยกันทั้งสิ้นทุกพระองค์ ไม่มีสักพระองค์ที่
ประสูติมาแล้วไม่ต้องแต่งงาน ได้ประพฤติพรหมจรรย์มาตั้งแต่เกิด จนกระทั่งได้สำเร็จ
พระอรหัตตผล เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดังนั้นการสร้างบารมี เพื่อไปยังจุดที่ยังไม่เคยมีใครไปถึงนี้ จึงมีกรณีพิเศษที่น่า
จะเป็นการสร้างบารมี ที่อาศัยการประพฤติพรหมจรรย์ตั้งแต่เกิดมา ไม่ต้องแต่งงาน มุ่ง
ทำความบริสุทธิ์ของตนเองตลอดไปตลอดชาติที่ได้เกิดมา จึงเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่น่าคิด
ในการสร้างบารมีไปให้ถึง “ที่สุด” ได้ ซึ่งหลวงพ่อวัดปากน้ำได้กล่าวตักเตือนไว้ใน
พระธรรมเทศนา เรื่อง สติปัฏฐานสูตร เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๗ แล้วว่า