ข้อความต้นฉบับในหน้า
120 ต า ม ร อ ย พ ร ะ ม ง ค ล เ ท พ มุ นี
(ตอบ) นั่นเป็นตัวออกจากกิเลสเครื่องร้อยรัด เมื่อออกจากกิเลส
เครื่องร้อยรัดแล้วจึงไปสู่นิพพานอีกครั้งหนึ่ง
นิพพานแยกออกเป็นสอง
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
=
“สอุปาทิเสสนิพพาน” เหมือนพระพุทธเจ้าได้สำเร็จพระพุทธเจ้า
แล้ว แต่ว่าขันธปัจก (ขันธ์ ๕ = ร่างกาย กายเนื้อ) ยังปรากฏอยู่ สั่งสอน
เวไนยสัตว์อยู่ ๔๕ ปี ในระหว่างนั้นเป็น สอุปาทิเสสนิพพานธาตุทั้งนั้น
เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน
ส่วน “อนุปาทิเสสนิพพาน” เมื่อพระพุทธเจ้าครบ ๘๐ พรรษาแล้ว
ที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน.....เมื่อพระพุทธเจ้าถึงอายตนนิพพานนั่นแล้ว
อยู่ในนิพพานแล้วขณะใด ขณะนั้นเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน............
(ถาม) อายตนนิพพานนั้น เมื่อธรรมกายของพระพุทธเจ้ายังไม่ได้
เข้าไป มีอยู่ไหมละ
(ตอบ) มีอยู่ เรียกว่า อายตนนิพพาน
บาลี บริหารตำรับตำราไว้ว่า
อตฺถิ ภิกขเว ตทายตน์... ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย นิพพานเป็น
อายตนะมีอยู่.......
พระพุทธเจ้ายังไม่ได้เข้านิพพาน พระอรหันต์ยังไม่ได้เข้านิพพาน
ก็เป็นอายตนะคอยรองรับอยู่ เหมือนอย่างกับตาของเรามีอยู่ ยังไม่
เห็นรูป รูปมันยังมาไม่ถึง ตายังไม่มา ถึงรูป รูปยังไม่มาถึงตา ก็ไม่
เห็นกัน (แต่)ก็มีอายตนะอยู่แล้ว.......อายตนะ คือหู เสียงมันยังไม่มาถึงก็
ไม่ได้ยินกัน พอเสียงมาถึงก็ได้ยินกัน เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ธรรมารมณ์ มีอายตนะเครื่องรับทั้งนั้น นี่เป็นอายตนะของโลก อายตน
นิพพานเป็นของละเอียด ละเอียดทีเดียว..
“นิพพาน” นั่นแหละได้ชื่อว่าเป็นอายตนะหนึ่ง เรียกว่า “นิพพาน”