ข้อความต้นฉบับในหน้า
1. ปฐมฌาน ประกอบด้วยองค์ฌาน 5 คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตา
2. ทุติยฌาน จิตประกอบด้วยองค์ฌาน 3 คือ ปีติ สุข เอกัคคตา
3. ตติยฌาน ประกอบด้วยองค์ฌาน 2 คือ สุข เอกัคคตา
4. จตุตฌาน ประกอบด้วยองค์ฌาน 2 คือ อุเบกขา (ความวางเฉย) เอกัคคตา
อัปปนาสมาธิที่สูงขึ้นจะมีองค์ธรรมที่ประกอบร่วมกันอยู่น้อยกว่าองค์ฌานต้นๆ เนื่องจาก
องค์ฌานในชั้นต้นๆ ยังมีภาวะที่ยังหยาบอยู่ องค์ฌานที่สูงขึ้นจึงละองค์ที่ยังหยาบไป เข้าสู่ภาวะที่สงบนิ่ง
มากขึ้น ดังนั้นยิ่งความหลุดพ้นจากนิวรณ์นั้น เป็นความหลุดพ้นที่เรียกว่า วิกขัมภนวิมุตติ เป็นความหลุดพ้น
ด้วยอำนาจของสมาธิที่ข่มไว้ คือ จะหลุดพ้นจากกิเลสตลอดเวลาที่ยังอยู่ในฌาน แต่ถ้าออกจากฌานแล้ว
กิเลสก็จะกลับมีได้อย่างเดิม
2.3.3 อภิญญา
นอกเหนือจากฌานที่เกิดขึ้นจากการเจริญสมถกัมมัฏฐานแล้ว ยังอาจมีผลพิเศษที่เกิดขึ้น
สืบเนื่องจากฌานนั้นด้วย คือ เมื่อผู้ปฏิบัติบรรลุฌาน 4 และเกิดวสีคือความชำนาญในฌานเหล่านั้นแล้ว
พร้อมทั้งอนุโลมและปฏิโลม จิตก็อ่อนโยนควรแก่การงาน พร้อมที่จะทำกิจพิเศษซึ่งเป็นผลพิเศษเกิดขึ้น
ในที่นี้เรียกว่า อภิญญา 5 ประกอบด้วย
1) อิทธิวิธี คือ ญาณที่มีลักษณะคือความสำเร็จของเรื่องที่อธิษฐานนั้นๆ ตามที่อธิษฐาน
มี 3 ประการคือ
1. อธิษฐานิทธิ คือ ฤทธิ์ที่แสดงด้วยการไม่สละรูปเดิมของตนและกระทำรูปเดิมให้มาก
มีร้อยคนพันคน ทำหลายคนให้เป็นคนเดียว ด้วยการเหาะไปทางอากาศ เดินทะลุกำแพง ดำดิน เดินบนน้ำ
เป็นต้น
2. วิกุพพนิทธิ คือ ฤทธิ์ที่แสดงด้วยการสละรูปเดิม เนรมิตตนให้เป็นเด็ก งู เสือ ช้าง ม้า เป็นต้น
ความต่างของอธิษฐานฤทธิ์ กับวิกุพพนฤทธิ์ คือ อธิษฐานฤทธิ์ บุคคลจะอธิษฐานโดยไม่เปลี่ยนร่าง
แต่ในวิกุพพนฤทธิ์ บุคคลอธิษฐานเปลี่ยนร่างไปเป็นอย่างอื่น
3. มโนมยิทธิ คือ ฤทธิ์ที่แสดงด้วยการเนรมิตสรีระอื่นที่เหมือนกับตนโดยอาการทั้งหมดใน
สรีระตน บันดาลร่างกายให้ใหญ่โตสุดประมาณได้ เมื่อเนรมิตร่างต่างๆ แล้วปรารถนาจะไปพรหมโลก
ด้วยกายเนรมิตนั้นก็ไปได้ และร่างเนรมิตนี้ย่อมบริบูรณ์ด้วยองค์ประกอบทั้งมวล ความสามารถไม่มีขาด
หายไป
อภิธัมมัตถสังคหะ และปรมัตถทีปนี พระคันธสาราภิวงศ์ แปล, สำนักพิมพ์ตาลกุด, 2546 หน้า 784
บทที่ 2 สมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐานในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
DOU 35