ข้อความต้นฉบับในหน้า
7. อรูปราคะ คือ ความยินดีในอรูปฌาน หรือในอรูปภพที่จะพึงเข้าถึงได้ด้วยอรูปฌานนั้น
8. มานะ คือ ความถือตัวว่าเราดีกว่าเขา เสมอเขา เลวกว่าเขา เป็นต้น
9. อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน ซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ ไม่สงบตั้งมั่นลงได้
10. อวิชชา คือ ความไม่รู้ในอริยสัจ 4
และผลจากการที่ละกิเลสสังโยชน์ย่อมทำให้ผู้นั้นเปลี่ยนจากปุถุชนเป็นพระอริยบุคคลดังต่อไปนี้คือ
1. พระโสดาบัน ผู้ถึงกระแสคือเข้าสู่มรรค ละสังโยชน์ได้ 3 อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา
และสีลัพพตปรามาส
2. พระสกทาคามี ผู้จะกลับมาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียว ละสังโยชน์ 3 อย่างข้างต้น และทำราคะ
โทสะ และโมหะให้เบาบาง
3. พระอนาคามี ผู้จะไม่กลับมาสู่โลกนี้อีก จะไปเกิดในชั้นสุทธาวาสพรหม ละสังโยชน์ได้อีก
2 ข้อ คือ กามราคะและปฏิฆะ
4. พระอรหันต์ ละสังโยชน์ได้สิ้นเชิง คือละสังโยชน์อีก 5 ข้อได้ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ
อุทธัจจะ และอวิชชา
กิเลสที่ละได้แล้วเป็นการละแบบสมุจเฉทปหาน ปฏิปัสสัทธิปหาน และนิสสรณปหาน ไม่ใช่
วิกขัมภนปหาน คือ การข่มไว้เหมือนในสมถะ
ในอรรถกถา การละกิเลส หรือปหานนี้ ท่านแบ่งไว้เป็นลำดับขั้น 5 ขั้น ดังนี้
1. ตทังคปหาน เป็นการละองค์นั้นๆ ด้วยวิปัสสนาญาณ เหมือนอย่างเช่นการละสักกายทิฏฐิ
ด้วยการกำหนดนามรูป ละความเห็นว่าสังขารไม่มีเหตุ และความเห็นว่าสังขารมีปัจจัยไม่เสมอกัน
ด้วยการกำหนดปัจจัย ละความเป็นผู้สงสัย ด้วยการข้ามพ้นความสงสัยในภายหลังนั้นนั่นเอง เป็นต้น
อุปมาเหมือนการละความมืดด้วยแสงประทีป เป็นการดับชั่วคราว
2. วิกขัมภนปหาน เป็นการละธรรมมีนิวรณ์ ด้วยสมาธิ เหมือนการห้ามแหนบนน้ำ ด้วยการ
ทุบหม้อเหวี่ยงลงไป หรือเหมือนการเอาหินทับหญ้าไว้
1. สมุจเฉทปหาน เป็นการละกิเลสด้วยอริยมรรค ละได้เด็ดขาด
2. ปฏิปัสสัทธิปหาน เป็นภาวะที่กิเลสสงบราบคาบ เป็นการละในขั้นอริยผล
3. นิสสรณปหาน เป็นการหลุดพ้นไปจากกิเลสโดยสิ้นเชิง คือ นิพพาน
- ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส, มก. เล่มที่ 67 หน้า 412
บทที่ 2 สมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐานในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
DOU 39