ข้อความต้นฉบับในหน้า
(2) การเห็นในกายทิพย์
การเห็นในกายทิพย์มีความวิเศษในกายมนุษย์ ซึ่งไม่สามารถมองด้วยตามนุษย์ได้ ตามนุษย์มอง
ไม่เห็น ต้องหลับตาของมนุษย์ แล้วส่งใจไปจดจ่อ อยู่ที่ศูนย์ดวงปฐมมรรค ในชั้นกายทิพย์ เมื่อถอดกายไป
ยังที่ต่างๆ ได้รู้เห็นเหตุการณ์ เหมือนตาเห็น คล้ายกับนอนหลับฝัน เห็นทั้งๆ ตื่นอยู่
คนธรรมดาทั่วไป เวลานอนหลับย่อมไม่รู้สึกตัว จะตื่นเมื่อไรก็ไม่สามารถกำหนดได้ แต่ถ้าถึงชั้น
กายทิพย์แล้วจะต้องการให้หลับเมื่อไร ก็หลับได้ จะให้ตื่นเมื่อไร ก็ทำให้ตื่นขึ้นได้ตามใจชอบ พวกฤาษีที่ได้
บำเพ็ญฌาน เขาก็ทำได้ แต่ทั้งนี้ก็ยังอยู่ในขั้นสมถะนั้นเอง
เห็น จำ คิด รู้ มีอยู่ในดวงปฐมมรรคนั้น แต่ตาของกายทิพย์ก็มองเห็นอย่างธรรมกายไม่ได้
เพราะเหมือนอยู่ในกระเปาะไข่ ไม่สามารถเห็นโลกตามความเป็นจริงได้
(3) การเห็นในกายพรหม อรูปพรหม
ส่วนพวกที่บำเพ็ญได้จนถึงชั้นรูปฌาน และอรูปฌาน เป็นพวกพรหมอยู่ในพรหมโลก ก็ยังอยู่
ในภพของตัวเองเหมือนลูกไก่อยู่ในไข่เหมือนกันก็ยังไม่สามารถเห็นโลกอย่างแจ่มแจ้งเหมือนกับพระธรรมกาย
ได้ จึงเรียกกันว่า ฌานโลกีย์ ยังเรียกวิปัสสนาไม่ได้ เป็นเพียงขั้นสมถะ แต่นั่นก็ยังเป็นรากฐานให้ก้าวขึ้น
สู่ขั้นวิปัสสนาได้
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ก็ได้เรียนฌานมาแล้วจากในสำนักฤาษี กล่าวคือ อาฬารดาบส
และอุทกดาบสก็ได้ผลเพียงแค่นั้น พระองค์เห็นว่ายังมีอะไรดียิ่งกว่านั้น จึงได้ประกอบพระมหาวิริยะ บำเพ็ญ
เพียรต่อไป จนในที่สุดพระองค์ได้บรรลุวิปัสสนาวิชชา เมื่อถึงขั้นนี้แล้วจึงมองเห็นสามัญลักษณะ เห็น
นามรูปด้วยตาธรรมกาย เพราะพระองค์ทะลุกระเปาะไข่ คือ โลกออกมาได้แล้ว สภาพเหตุการณ์ทั้งหลาย
พระองค์รู้เห็นหมด แต่มิใช่รู้ ก่อน เห็น พระองค์เห็นก่อนรู้ทั้งสิ้น
โดยสรุปแล้ว การเห็นด้วยตาของกายมนุษย์ ตากายทิพย์ ตารูปพรหมและอรูปพรหมก็เป็นเพียง
ปัจจัยเพื่อให้บรรลุมรรคผลเท่านั้น ต้องเห็นด้วยตาธรรมกายจึงจะบรรลุมรรคผลได้
และการเห็นด้วยตากายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม
รูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม อรูปพรหมละเอียด เห็นเท่าไรก็เห็นไป เรียกว่าอยู่ในหน้าที่สมถะทั้งนั้น
ไม่ใช่วิปัสสนา ถ้าวิปัสสนาละก็ต้องเห็นด้วยตาธรรมกาย นั่นแหละเป็นตัววิปัสสนาจริงๆ
62 DOU สมาธิ 5 ห ลั ก ส ม ถ วิปัสสนากัมมัฏฐาน