ข้อความต้นฉบับในหน้า
ไม่ยึดติดในสิ่งทั้งหลาย จึงเกิดการปล่อยวางอารมณ์ภายนอกที่ยึดติด และจิตจึงค่อยสงบนิ่ง ตั้งมั่น และ
เกิดเป็นสมาธิ การพิจารณาอย่างนั้นท่านยังไม่เรียกว่า วิปัสสนา แต่อาจเรียกได้ว่า วิปัสสนึก ดังในพระ
ธรรมเทศนาว่า
“วิปัสสนึก คือนึกตาม ทบทวนตามคำสอน ที่เราได้ศึกษาเล่าเรียนมาจาก
ตำรับตำราหรือครูบาอาจารย์ เราสอนแล้วเราก็มาพิจารณา มาใคร่ครวญกัน
ตามที่เรายินได้ฟังโดยใช้จินตมยปัญญา เกิดความคิด แล้วก็เกิดความรู้สึก เรา
มักจะเหมาว่าอันนี้คือวิปัสสนา แต่ความจริงยังไม่ใช่ ยังเป็นวิปัสสนึก คือ
นึกคิดพิจารณาเอา ทบทวนเอาตามสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังได้ศึกษา แต่วิปัสสนา
ความหมายที่แท้จริงหมายความว่าต้องเห็น เพราะปัสสนาแปลว่าการเห็น และ
ก็ต้องเห็นอย่างวิเศษ แจ่มแจ้ง เห็นได้ทั่วถึงทุกทิศทุกทางที่เดียว”
การเจริญวิปัสสนาที่ต้องใช้สมถะควบคู่ไปก่อนนี้ตรงกับพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
“ฌานย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ฌาน
และปัญญาย่อมมีในบุคคลใด บุคคลนั้นแล ตั้งอยู่แล้วในที่ใกล้พระนิพพาน”
ในพุทธพจน์นี้ชี้ให้เห็นว่า บุคคลที่ยังไม่ได้ฌาน ย่อมไม่อาจยังปัญญา คือภาวนามยปัญญา หรือ
วิปัสสนาปัญญาให้เกิดขึ้นได้ เพราะบุคคลที่อยู่ใกล้พระนิพพาน คือ สามารถละกิเลสได้ จำต้องเจริญสมถะ
เพื่อให้เกิดฌาน และเจริญวิปัสสนาต่อเพื่อให้เกิดปัญญาเช่นนี้บุคคลนั้นก็อาจจะละกิเลส เพื่อมุ่งสู่ความพ้นทุกข์
เข้าสู่พระนิพพานได้
นอกจากนี้ยังมีพุทธพจน์ที่ชี้ให้เห็นว่า การรู้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงอันเป็นภาวนามยปัญญา
จะเกิดขึ้นได้เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ดังพุทธพจน์ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ ภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อม
รู้ชัดตามเป็นจริง ก็ภิกษุย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงอย่างไร ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิด
และความดับแห่งรูป ความเกิดและความดับแห่งเวทนา ความเกิดและความ
ดับแห่งสัญญา ความเกิดและความดับแห่งสังขาร ความเกิดและความดับแห่ง
วิญญาณ...”3
1
พระธรรมเทศนา พระราชภาวนาวิสุทธิ์ 6 กรกฎาคม 2540
ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท, มก. เล่มที่ 43 ข้อ 35 หน้า 338
* สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค, มก. เล่มที่ 27 ข้อ 27 หน้า 37
บทที่ 2 สมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐานในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
DOU 41