ข้อความต้นฉบับในหน้า
8) เมื่อพระภิกษุสงฆ์รูปที่สองรับว่า “สัพพีติโย .......” แล้ว พระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดจะอนุโมทนา
ผู้กรวดน้ำจะหยุดกรวด เทน้ำลงทั้งหมด แล้วประนม มือตั้งใจรับพรซึ่งพระภิกษุสงฆ์กำลังให้
ต่อไป
9) ขณะที่พระภิกษุสงฆ์กำลังสวดอนุโมทนาอยู่นั้นเจ้าภาพหรือประธานในพิธีไม่ควรลุกไปทำภารกิจ
อย่างอื่นกลางคัน ควรนั่งรับพรไปจนกว่าจะจบ เพราะเวลานั้นเป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์กำลัง
ประสิทธิ์ประสาทพรแก่เจ้าภาพ
10) เมื่อพระภิกษุสงฆ์อนุโมทนาจบ จึงกราบหรือไหว้พระภิกษุสงฆ์อีกครั้ง แล้วนำน้ำที่กรวดนั้น
ไปเทที่พื้นดิน รดต้นไม้ หรือเทที่พื้นหญ้าภายนอกตัวอาคาร บ้านเรือน เพื่อฝากไว้กับ
แม่พระธรณีตามคติโบราณ
11) การกรวดน้ำพึงกระทำเมื่อได้บำเพ็ญบุญกุศลหรือความดีอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เช่น ทำบุญ
ใส่บาตร ถวายสิ่งของแด่พระภิกษุสงฆ์ หรือให้ทานแก่คนยากจน หรือเสียสละปัจจัยก่อสร้าง
สาธารณะประโยชน์อย่างอื่นแล้ว แม้จะไม่มีพระภิกษุสงฆ์อนุโมทนาต่อหน้า จะกรวดน้ำ
คนเดียวเงียบๆ หรือกรวด หลังสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนก็ได้
12) การกล่าวคำกรวดน้ำที่เป็นภาษาบาลี จึงศึกษาความหมายให้เข้าใจก่อนย่อมเป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่
ว่ากันมาอย่างไรก็ว่ากันไปอย่างนั้น โดยไม่รู้ความหมายที่แท้จริง จึงต้องถามท่านผู้รู้หรือ
ศึกษาวิธีการก่อน ทั้งนี้ จะเป็นผลดีแก่ตัว ผู้กระทำเอง คือ นอกจากจะได้ชื่อว่าทำถูกทำเป็น
แล้ว ยังจะเกิดประโยชน์ที่ต้องการด้วย
13) ข้อควรจำเวลากรวดน้ำ คือ ต้องตั้งใจทำจริงๆ ไม่ใช่ทำเล่นๆ หรือทำเป็นเล่น หากว่าภาชนะ
ใส่น้ำสำหรับกรวดไม่มี หรือมีไม่พอ ก็พึงนั่งกรวดในใจนิ่งๆ โดย น้ำใจ กรวดอุทิศเลย ไม่ควร
ไปนั่งรวมกลุ่มกันแล้วจับแขนจับขาจับชายผ้า จับข้อศอกกันแล้วกรวดน้ำ มองดูชุลมุน
ไปหมดไม่งามตา ทั้งไม่เกิดประโยชน์ เพราะจิตใจของผู้กรวดจะไม่สงบเป็นสมาธิ
บางครั้งก็ หัวเราะกันคิกคักไปก็มี ต้องกรวดเป็น และตั้งใจกรวดจริงๆ จึงจะมีผลจริง
หากหลั่งบนพื้นดินควรเลือกที่สะอาดหมดจดถ้าอยู่ในอาคารสถานที่ควรมีภาชนะรองรับอันเหมาะสม
ไม่ใช้กระโถนหรือภาชนะสกปรกรองรับ ควรหลั่งน้ำที่กรวดให้หมด เมื่อเสร็จพิธีแล้ว จึงนำน้ำที่กรวดนั้นไป
เทลงในดินที่สะอาด การกรวดน้ำเป็นหน้าที่ของเจ้าของงานโดยตรงถือเป็นเจ้าของบุญกุศล เมื่อจะให้แก่ใคร
เจ้าของต้องให้เอง
126 DOU วั ฒ น ธ ร ร ม ช า ว พุ ท ธ