ข้อความต้นฉบับในหน้า
180
ศีล....เป็นที่ตั้งแห่งความดีงาม
เมื่อตรัสถามว่า ถ้าลดลงเสียอีก ๑ เหลือ ๓ จะลดอะไร โสณ
ทัณฑพราหมณ์กราบทูลว่า ลดข้อที่เกี่ยวกับการท่องจำมนต์
เมื่อตรัสถามว่า ถ้าลดลงเสียอีก ๑ เหลือ ๒ จะลดอะไร โสณ
ทัณฑพราหมณ์กราบทูลว่า ลดข้อที่เกี่ยวกับชาติ คือ กำเนิดจากมารดา
บิดาเป็นพราหมณ์
พอลดข้อนี้พวกพราหมณ์ที่มาด้วย ก็ช่วยกันขอร้องว่าอย่ากล่าว
อย่างนั้น เพราะเป็นการกล่าวกระทบผิวพรรณ กระทบมนต์ กระทบชาติ
จะเสียทีแก่พระสมณโคดม
โสณทัณฑพราหมณ์ ก็โต้ตอบว่า หลานของตนคืออังคกะมาณพที่
นั่งอยู่ในที่ประชุมนี้ มีผิวพรรณดี ท่องจำมนต์ได้ดี เกิดดีจากมารดาบิดา
ทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นพราหมณ์สืบต่อมา ๗ ชั่วบรรพบุรุษ แต่ก็ฆ่าสัตว์
ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา โดยที่ผิวพรรณ มนต์
ชาติ ไม่อาจช่วยอะไรได้ เมื่อใดพราหมณ์เป็นผู้มีศีล มีปัญญา รวม ๒
คุณสมบัตินี้ จึงควรบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ และควรเรียกตัวเองว่าเป็น
พราหมณ์
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถามต่อไปว่า ถ้าลดเสีย ๑ เหลือ ๑ พอ
จะกําหนดคุณสมบัติของผู้ควรเป็นพราหมณ์ได้หรือไม่ โสณทัณฑ
พราหมณ์กราบทูลว่าลดไม่ได้ เพราะศีลชาระปัญญา ปัญญาชาระศีล
ในที่ใดมีศีลในที่นั้นมีปัญญา ในที่ใดมีปัญญาในที่นั้นมีศีล ศีลกับปัญญา
กล่าวได้ว่าเป็นยอดในโลก เปรียบเหมือนใช้มือล้างมือ ใช้เท้าล้างเท้า
ศีลกับปัญญา ชาระกันฉันนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสรับรองภาษิตของโสณทัณฑพราหมณ์
ว่าถูกต้อง