ข้อความต้นฉบับในหน้า
ชนิดที่ฝ่ายกฎหมายนิสามารถเอาผิดได้ เพื่อสร้างความมั่งคงรำรวย และอำนาจอิทธิพลให้แก่ตน ขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้ว่ายังมีอำนาจอิทธิพลในสังคมมากเท่าใด ก็จะเป็นทางมาแห่งความมั่งคั่งร่ำรวยและอิทธิพลมากขึ้นเท่านั้น พร้อมกันนั้นก็มีความเห็นว่า การมีอำนาจอิทธิพลมากๆ จะเป็นเงราะคุ้มกันตนให้พ้นจากโทษทัณฑ์ทางกฎหมายบ้านเมือง โดยมีเรื่องกฎหมายแห่งกรรมไปเสียสิทธิ อันเป็นเหตุให้คนที่ทำกรรมชั่วเป็นนิสัยสันดานขาดความรับผิดชอบแห่งศักดิ์และศรีของทั้งตนเอง และของผู้ร่วมสังคมไปโดยปราาย
ใครก็ตามที่ไม่เชื่อกฎแห่งกรรม ก็เพราะเขาเห็นว่าว่าเขาคือวิบากของกรรมดีกรรมชั่วมิใช่จริง ความเห็นผิดของเขาจัดเป็น “มิจฉาทิฏฐิ” ในทางตรงข้าม ใครก็ตามที่เชื่อมั่นในกฎหมายแห่งกรรมก็เพราะเขาเห็นว่าวผล คือวิบากของกรรมดีกรรมชั่วมิจริง ความเห็นถูกของเขาจัดเป็น “สัมมาทิฏฐิ”
สรุป
สาระสำคัญเกี่ยวกับวิบากแห่งกรรมดีและกรรมชั่วของบุคคลก็คือ ความเห็นว่ามว่า “กฎแห่งกรรมมีจริง” นั้น เป็นสภาพใจของคนที่อุปถัมภ์ “อุปกขาจิต” อุปกขาในบริบทนี้ได้หมายถึงการวางเฉยแบบองค์ไม้ แต่ว่าเป็นการวางเฉยของใจที่ประกอบด้วยปัญญา สามารถพิจารณาไตรตรองด้วยสติ