ข้อความต้นฉบับในหน้า
โครงการบวงสรวงสักการะแก้วหน่ออ่อน ๑ ล้านคน
พระราชดำรัสว่า “ถ้ากระนั้น ท่านจงดู ก่อไม้หนั่นปรกอ้อยงามด้านทักษิณ จงนำเอาไม้หนั่นออก ให้ช่างทำเรือนเกิด” ดังนี้แล้วก็ศรษฐบอกกับเรือนของเศรษฐีเก่า
เขาให้ช่างทำเรือนในที่นี้ โดย ๒-๓ วันทำก็เสร็จและติดรอบคงเป็นงานเดียวกัน ได้ถวายทานแก่งสุงส์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด ๓ วัน ครั้งนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงทำอนุโมทนาเก่า จึงรอสอนพูดกันแล้ว
ในกาลบรรธรรมกา ชนทั้ง ๓ คือ ปานเศรษฐี ๑ ราษฎรของเขา ๑ นางอุตตรพรเป็นกิด ๑ ได้เป็นพระโสดากันแล้ว
บุญส่งผลมีโคะมาก มีดใหญ่เป็นเศรษฐีประจำเมือง มีเรือนใหม่และใหญ่
ฐิตาเฉนเศรษฐีได้เป็นภรรยาบุตรสุมนเศรษฐี
ในกาลต่อมา เศรษฐีโตรงราษฎร์ ขออธิบายบุญเศรษฐีให้บุตรของตน เขาพูดว่า " ผมให้ไม่ได้," เมื่อเศรษฐีโตรงราษฎพูดว่า "จงอย่าทำอย่างนั้น ท่านอาคันฉันอยู่ตลอดเวลา ถึงนี้ก็เดียวจึงลำบาก จงให้ฉันว่านูติฉันเอง" จึงกล่าวว่า "บุตรของท่านนั่นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ส่วนฉันของผมเห็นห่างจากพระรัตนทั้งสามแล้ว ไม่อาจเป็นไปได้ ผมจึงจักคิดให้บุตรของท่านไม่ให้เลย"
ครั้งนั้น กูฎุมพี่หลายมีเศรษฐีและคุณคดีเป็นต้น เป็นอันมากวิจงเขาว่า "อย่าทำความสนิทสนมกับด้วยเศรษฐีโตรงราษฎนั้น จงอย่าให้บุตรของเขาเกิด" เขารับคำของกูฎุมพรเหล่านั้นแล้วได้คิดไว้ในใจเก็บเดือนอาสาฯ
หน้าที่ของพ่อแม่ คือหาคู่ครองที่เหมาะสม ไม่ใช่เป็นแก่นคนอื่น
จำเลยแต่เวลาไปสู่พระสุทธสามแล้ว นางมุได้เข้าไปทราบหรือเข้าไปกิหรอ หรือเพื่อถวายทานหรือฟังธรรมเลย. เมื่อเล่าไปได้ประมาณ ๒ เดือนครึ่ง ด้วยอากาศอย่างนี้,
นางจึงถามสาวใช้ผู้อยู่ในสำนักว่า "เวลานี้ภายในพระราชังเหลืออีกเท่าไร ?"
สาวใช้ ยังอยู่ครึ่งเดือน คุณแม่
คนรักบุญ ย่อมแสวงหาโอกาสในการทำบุญ