ข้อความต้นฉบับในหน้า
1. พิจารณาโทษของความโกรธและอานิสงส์ของขันติ
การเจริญเมตตา
ผู้ปฏิบัติต้องทำใจให้ประกอบด้วยเมตตาปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์
ทั้งหลาย ต้องนึกถึงโทษของความโกรธและความขัดเคืองใจ และประโยชน์ของความอดทนว่า เมื่อ
เกิดความโกรธ ความคิดประกอบด้วยเมตตาจะถูกเผาผลาญ จิตก็ไม่บริสุทธิ์ เนื้อตัวสั่นเทา
ด้วยความโกรธ ขว้างปาทำลายข้าวของจนเสียหาย บางครั้งถึงกับฆ่าตัวเองและฆ่าคนอื่นก็มี ยิ่ง
ใครเป็นคนมักโกรธมีความขัดเคืองใจอยู่บ่อยๆ ด้วยอำนาจของอกุศลที่เข้าสิงจิตอาจถึงขั้นทำ
อนันตริยกรรม ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำพระภิกษุสงฆ์ให้แตกความสามัคคี หรือ
ทำพระวรกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต คือ กรรมที่น่ากลัวอันเกิดจากอำนาจของ
ความโกรธซึ่งไม่ควรให้เกิดขึ้นกับใครๆ เลย ควรนึกอย่างนี้บ่อยๆ และควรนึกถึงคุณของขันติ
เป็นต้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ตรัสเอาไว้ว่า
“ขันติ คือความยับยั้งใจไว้ได้ เป็นธรรมเครื่องเผาบาปให้
เหือดแห้งชั้นเยี่ยม”
“เรายกย่องผู้มีขันติเป็นกำลัง มีขันติเป็นกองทัพว่าเป็นพราหมณ์”
“คุณธรรมที่จะเป็นเครื่องป้องกันความฉิบหาย และนำไปซึ่ง
ประโยชน์อันยิ่งใหญ่มาให้แก่ตนและคนอื่น ที่จะประเสริฐวิเศษยิ่งไป
กว่าขันตินั้น ย่อมไม่มี”3
2. บุคคลที่ควรเว้นในการเจริญเมตตาเป็นอันดับแรก
เมื่อได้เห็นโทษของความโกรธและอานิสงส์ของขันติแล้ว เบื้องต้นเราจำเป็นต้องรู้จัก
บุคคลที่เป็นโทษต่อการเจริญเมตตาว่าบุคคลจำพวกนี้จะเจริญเมตตาไปถึงเป็นอันดับแรกไม่ได้
ซึ่งมีอยู่ 4 จำพวก คือ คนที่ไม่รัก คนที่รักมาก คนที่ไม่รักไม่ชัง คนที่เป็นศัตรู และไม่ควรเจริญ
เจาะจงคนที่เป็นเพศตรงข้าม สำหรับคนที่ตายแล้วไม่ควรเจริญเมตตาเลยทีเดียว
1
2
เวรัญชกัณฑวรรณา, มก. เล่ม 1 หน้า 346.
วาเสฏฐสูตร, มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์, มก. เล่ม 21 ข้อ 707 หน้า 409.
3
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค, มก. เล่ม 15 ข้อ 250 หน้า 365.
พ ร ห ม วิ ห า ร 4
DOU 31