ข้อความต้นฉบับในหน้า
หมดความติดใจในนัตถิภาวบัญญัติ ครั้นเจริญภาวนาต่อไปจนนัตถิภาวบัญญัติ ที่เป็นนิมิต -
กัมมัฏฐานแก่อากิญจัญญายตนฌานนั้นปราศไปจากจิตใจแล้วก้าวล่วงนัตถิภาวบัญญัติอารมณ์ซึ่ง
แนบแน่นในจิตใจเสียได้ในเวลาใดแล้ว เวลานั้นแหละ อากิญจัญญายตนฌาน ก็จะปรากฏเป็น
อารมณ์ขึ้นมาแทนนัตถิภาวบัญญัติ จิตที่มีอากิญจัญญายตนฌานเป็นอารมณ์นี้เองที่เรียกว่า
เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน บุคคลที่ได้เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน นี่แหละที่มีชื่อว่า
เนวสัญญานาสัญญายตนฌานลาภีบุคคล
ที่เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน นั้นมีความหมายว่า เป็นฌานที่ไม่มี
สัญญาหยาบ มีแต่สัญญาที่ละเอียดที่ประณีต สมกับที่บริกรรมว่า สงบหนอ ประณีตหนอ
อีกนัยหนึ่งมีความหมายว่า เป็นฌานที่จะว่า ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ จะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ โดยมี
อุปมาดังนี้คือ
สามเณรทาบาตรด้วยน้ำมันแล้วตั้งเก็บไว้ถึงเวลาดื่มข้าวต้มพระเถระเรียกให้นำบาตรมา
สามเณรเรียนว่า “ในบาตรมีน้ำมัน ครับ”
พระอุปัชฌาย์ “นำมาเถิดสามเณร ฉันจักเติมน้ำมันไว้”
สามเณรตอบว่า “ไม่มีครับ น้ำมัน”
คำว่า น้ำมันมี ก็ใช่ เพราะมุ่งถึงความที่น้ำมันไม่ควรปนกับข้าวต้ม เพราะมันติดอยู่
ในบาตร ส่วนคำว่าไม่มีก็ใช่เพราะมุ่งถึงการจะใช้งานต่าง ๆ เช่นเติมลงในกระบอกน้ำมัน เป็นต้น
คำว่า เป็นสัญญาก็มิใช่ เพราะไม่สามารถทำหน้าที่ได้ชัดแจ้ง ไม่เป็นสัญญาก็ไม่ใช่
เพราะเป็นสภาพมีอยู่โดยเป็นสังขารที่ละเอียด
อีกอุปมาหนึ่ง เหมือนกับสามเณรเดินไปข้างหน้าพระเถระองค์หนึ่ง เมื่อเห็นน้ำ
เล็กน้อยในทาง ก็เรียนว่า “น้ำครับ โปรดถอดรองเท้า”
พระเถระกล่าวว่า “สามเณร ถ้าน้ำมี จงนำผ้าอาบมา เราจักอาบน้ำ”
สามเณรตอบว่า “น้ำ ไม่มีครับ”
คำว่า น้ำมี ก็ใช่ เพราะมุ่งถึงน้ำมีพอเปียกรองเท้า คำว่า น้ำไม่มี ก็ใช่ เพราะมุ่งถึง
น้ำไม่พอจะอาบได้ แม้สัญญาก็เช่นกัน จัดว่าเป็นสัญญาก็มิใช่ เพราะไม่สามารถทำหน้าที่ให้
ชัดได้ จัดว่าไม่เป็นสัญญาก็มิใช่ เพราะเป็นสภาพมีอยู่เพียงเศษสังขาร (การปรุงแต่งความคิด)
ที่ละเอียดเท่านั้น
อ รู ป กั ม ม ฏ ฐ า น DOU 97