ข้อความต้นฉบับในหน้า
1. คนที่ไม่รัก คนที่รักมากเป็นพิเศษ คนที่ไม่รักไม่ชัง และคนที่ถึงขั้นเป็นศัตรูกัน บุคคล
เหล่านี้ไม่ควรแผ่เมตตาให้เป็นอันดับแรก ด้วยเหตุผล คือ
ก. อปิยบุคคล ผู้ที่เราไม่รักใคร่เพราะเมตตาจะไม่เกิด เกิดแต่ความไม่พอใจเนื่องจาก
เราไม่มีความรักใคร่ชอบพอผู้นั้น
ข. อติปิยบุคคล ผู้ที่เรารักใคร่มากมีบิดามารดา บุตรธิดา สามีภรรยา เมตตาก็จะ
ไม่เกิด เกิดแต่ความวิตกกังวลและความเศร้าโศก คือ เมื่อทุกข์แม้เพียงเล็กน้อยเกิดขึ้นกับเขา
ก็จะพลอยทำให้เศร้าโศกทุกข์ร้อนไปด้วย เพราะมีความรักใคร่มากเกินไปนั้นเอง
ค. มัชฌัตตบุคคล ผู้ที่เราไม่รักและไม่ชัง เมตตาจะไม่เกิดเพราะสิ่งที่ชวนจะให้เกิด
ความรักใคร่นั้นไม่มี ด้วยเหตุที่ว่าไม่มีทั้งความยินดีและยินร้าย
ง. เวรีบุคคล ผู้ที่เป็นศัตรูแก่เรา เมตตาจะไม่เกิด เกิดแต่ความโกรธ ความเกลียด
เพราะผู้นั้นเป็นศัตรูต่อเรา
2. คนที่เป็นเพศตรงข้าม กับผู้ปฏิบัติโดยเฉพาะที่ไม่ใช่ญาติสนิท ไม่ควรแผ่เมตตาให้
เจาะจงเฉพาะตัว เพราะราคะจะกำเริบขึ้น
ดังตัวอย่างของบุตรอำมาตย์คนหนึ่ง ถามพระเถระผู้มาสู่สกุลว่า เมตตาควรเจริญใน
บุคคลชนิดไหน พระเถระตอบว่า ควรเจริญในบุคคลผู้เป็นที่รัก เนื่องจากบุตรอำมาตย์รัก
ภรรยาของเขามากจึงเจริญเมตตาแก่ภรรยานั้นอยู่ ผลก็คือเขาต้องทำการทุบฝาบ้านทั้งคืนจนถึง
รุ่งเช้าด้วยความคิดถึงภรรยา เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรเจริญเมตตาในคนที่เป็นเพศตรงข้าม โดย
เฉพาะเจาะจง
3. คนที่ตายไปแล้ว การแผ่เมตตาให้คนที่ตายไปแล้ว นำมาเป็นอารมณ์กัมมัฏฐาน
ไม่ได้เพราะไม่สามารถทำอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิให้เกิดขึ้นได้เลย จึงเป็นการแผ่เมตตาที่
ไร้ประโยชน์
ดังตัวอย่างของภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง ท่านเจริญเมตตาปรารภอาจารย์ของท่าน ปรากฏว่า
ไม่สามารถทำเมตตาฌานให้เกิดขึ้นได้ จึงได้ไปสู่สำนักของพระมหาเถระ แล้วก็กล่าวกับ
พระมหาเถระว่า “ท่านขอรับการเข้าฌานมีเมตตาเป็นอารมณ์ของผมเคยทำได้คล่องแคล่วทีเดียว
แต่ผมไม่อาจเข้าฌานนั้นได้เหมือนเดิม เป็นเพราะเหตุอะไรหนอ” พระเถระจึงบอกว่า “เธอจง
แสวงหาสาเหตุเกิดผู้มีอายุ” พระภิกษุนั้นจึงได้ค้นหาสาเหตุนั้น ในที่สุดก็ทราบว่าอาจารย์ได้
มรณภาพเสียแล้ว ท่านจึงได้เจริญเมตตาปรารภผู้อื่นต่อไป จนกระทั่งได้บรรลุฌานสมาบัติ
32 DOU ส ม า ชิ 7 : ส ม ถ ก ม ม ฏ ฐ า น 40 วิธี