ข้อความต้นฉบับในหน้า
2.4 การเจริญเมตตาเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ในการแผ่เมตตาในวิชชาธรรมกายให้เริ่มจาก “ศูนย์กลางกาย” โดยเริ่มแผ่ความใสสว่าง
ออกมาจากศูนย์กลางกายให้ครอบคลุมตนเองก่อน จนเห็นตัวเองใสสว่างและมีความรัก
ปรารถนาดีกับตนเองโดยอาจใช้คำบริกรรมภาวนาช่วย จากนั้นจึงแผ่ให้บุคคลตามลำดับโดยน้อม
เอาบุคคลนั้นมาไว้ที่ศูนย์กลางกาย แล้วกลั่นให้ใสจนเหมือนกับเป็นตัวเอง ตั้งแต่ บุคคลที่เรารัก,
บุคคลที่เรารักใคร่มาก, บุคคลที่เราไม่รักไม่ชัง, และบุคคลที่เป็นศัตรู จนทุกคนใสสว่างเท่ากัน
เรามีความรู้สึกปรารถนาดีกับทุกคนเท่ากันเหมือนเป็นตัวของเรา เรียกว่าถึงขั้น “สมสัมเภท”
จากนั้นใจก็จะรวมเป็นหนึ่งตกศูนย์เข้าถึง “ดวงธรรม” ที่แท้จริงภายใน จึงแผ่ขยายให้
กว้างขวางออกไปเป็น “ทิสาผรณา” คือ ทั่วไปทั้ง 10 ทิศ ให้ครอบคลุมขยายออกไปรอบตัวทั้ง
ซ้าย ขวา หน้า หลัง ล่าง บน จนคลุมทั่วจังหวัด ประเทศ โลก และจักรวาล แล้วน้อมแผ่ไปสู่
ประเภทบุคคล 7 จำพวก เป็น “โอทิโสผรณา” และแผ่ไปโดยไม่จำกัดบุคคล 5 จำพวก เป็น
“อโนทิโสผรณา” จนเห็น “ดวงปฐมมรรค” ของเราขยายคลุมโลกจักรวาล สรรพสัตว์ที่อยู่ในนั้น
ใสสว่างเสมอเท่ากันหมดในดวงปฐมมรรคของเรา เรียกว่าเป็น “อัปปมัญญา”
จริง ๆ แล้ว การเจริญเมตตาภาวนาในระดับที่ประณีตยิ่งขึ้นไปกว่านี้ยังมีอีก คือ การเจริญ
เมตตาในระดับการเข้าถึงกายต่าง ๆ จนถึงการเจริญเมตตาสมาบัติในธรรมกาย แต่ในที่นี้ขอ
อธิบายแต่เพียงเท่านี้
นิมิต 3 กับภาวนา 3 ในเมตตาภาวนา
นับตั้งแต่เริ่มแผ่เมตตาให้กับตนเองเป็นต้น จนถึงเวรีบุคคลรวมทั้ง 4 จำพวกนี้มาไว้ที่
ศูนย์กลางกายเรียกว่า “บริกรรมนิมิต” เมื่อเมตตาจิตเกิดมีทั่วไปในบุคคลทั้ง 4 พวก แต่ยังไม่
เข้าถึงขั้นสีมส้มเภทเรียกว่า “อุคคหนิมิต” เมื่อสำเร็จเป็นสีมส้มเภท คือ เห็นทุกคนใสสว่างเท่ากัน
หมดแล้ว เรียกว่า “ปฏิภาคนิมิต” ในขณะเริ่มต้นบริกรรมด้วยใจว่า อเวรา โหนตุ เป็นต้น
ไปในบุคคลต่าง ๆ เรียกว่า “บริกรรมภาวนา” การแผ่เมตตาในระหว่างที่ได้อุคคหนิมิตและ
ปฏิภาคนิมิต เรียกว่า “อุปจารภาวนา” เมื่อดวงธรรมเกิด เรียกว่า “อัปปนาภาวนา”
2.5 การเจริญกรุณาภาวนา
กรุณา คือ ความหวั่นใจเมื่อเห็นผู้อื่นมีทุกข์ คิดหาทางช่วยเหลือปลดเปลื้องจากทุกข์นั้น
หรือ ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ หมายความว่า เมื่อเห็นสัตว์ทั้งหลายได้รับความลำบาก
58 DOU สมาธิ 7 : ส ม ถ ก ม ม ฏ ฐ า น 4 0 วิธี