ข้อความต้นฉบับในหน้า
แต่ส่วนที่เป็นความทุกข์ของคนที่เป็นศัตรูที่เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือที่จะเกิดขึ้นในชาติต่อๆ ไป
แล้วจึงเจริญกรุณาไปยังคนที่เป็นศัตรู
คน 2 จำพวก ที่ให้เจริญกรุณาเป็นอันดับแรกนั้นเพราะว่าทำให้กรุณาภาวนาสำเร็จ
ได้โดยง่าย แต่ไม่ใช่ว่าให้ผู้ปฏิบัติพึงพอใจเพียงแค่นั้น ต้องทำกรุณาภาวนาในคน 2 จำพวกนั้น
ให้คล่องแคล่วจนจิตอ่อนนุ่มนวลควรแก่การงานก่อน คือ ทำให้ชำนาญด้วยวสีทั้ง 5 เสียก่อน
ต่อจากนั้น ให้เจริญกรุณาไปในคนที่รัก จากนั้นในคนที่เป็นกลาง ๆ และสุดท้ายในคนที่เป็นศัตรู
ทั้งนี้ก็เพื่อทำกรุณาให้เป็นสีมสัมเภทต่อไป วิธีการเจริญกรุณาในบุคคลตามลำดับนั้น เป็นไป
ในทำนองเดียวกับที่แสดงไว้ในเมตตากัมมัฏฐานทุกประการ
ส่วนผู้ปฏิบัติที่ไม่มีคู่เวรหรือไม่ได้ผูกเวรกับใครก็ไม่มีคู่เวรที่ต้องแผ่ไปถึงจึงไม่จำเป็น
ต้องทำความขวนขวายว่า ตอนนี้จิตของเรานุ่มนวลควรแก่การงานแล้ว บัดนี้เราจะแผ่กรุณา
ไปในคนคู่เวร เฉพาะผู้ที่มีคู่เวรเท่านั้นที่ต้องทำอย่างนั้น
ในการเจริญกรุณาไปในคนคู่เวร ถ้ามีความโกรธเกิดขึ้นก็ให้แก้ไขด้วยวิธีเดียวกับที่
กล่าวไว้ในเมตตาภาวนา คือ ต้องทำความโกรธให้ระงับเสียก่อนด้วยอุบายวิธีต่าง ๆ เช่น ต้อง
หวนกลับไปเจริญกัมมัฏฐานในบุคคลจำพวกต้นๆ เสียใหม่ หรือพิจารณาถึงพระพุทธโอวาทต่าง ๆ
เป็นต้น
5. เจริญกรุณาในคนที่ทำความดีและมีสุข
การเจริญกรุณาที่ผ่านมา เป็นการเจริญไปในคนที่ตกทุกข์ได้ยากในชาติปัจจุบัน
และคนที่มีความสุขในปัจจุบันแต่ได้ประกอบเหตุที่ทำให้ต้องประสบทุกข์ในชาติหน้า ต่อไปนี้จะ
ได้แสดงวิธีเจริญกรุณาไปในคนที่มีความสุขได้ทำความดีมาตลอดไม่ได้ทำความชั่วเลย
สำหรับคนที่เพียบพร้อมไปด้วยความสุขและทำความดีมาตลอดชีวิต เมื่อผู้ปฏิบัติ
ได้เห็นเขาประสบกับความสูญเสียอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น สูญเสียญาติ หรือเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย
หรือเกิดความสูญเสียโภคทรัพย์เป็นต้น แม้ไม่ได้เห็นด้วยตาแต่ได้ทราบข่าวเช่นนั้นก็ตาม จึง
เจริญกรุณาในคนคนนั้นคลุม ๆ ไปว่าท่านผู้นี้นับว่าเป็นคนมีทุกข์อยู่เหมือนกันเพราะถึงแม้เขาจะ
ไม่สูญเสียอะไรๆ เลยสักอย่างเดียวแต่ก็ยังเป็นคนไม่ข้ามพ้นไปจากทุกข์ในวัฏฏสงสารอยู่นั่นเอง
2.5.2 การเจริญกรุณาถึงขั้นลืมสัมเภท
ผู้ปฏิบัติต้องทำกรุณาให้เป็นสีมส้มเภทในบุคคล 4 จำพวก คือ ตนเอง คนที่รัก คนที่
เป็นกลาง ๆ คนที่เป็นศัตรู โดยพยายามเจริญกรุณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งจิตมีความกรุณา
พ ร ห ม วิ ห า ร 4 DOU 63