ข้อความต้นฉบับในหน้า
4. เจริญเมตตาในบุคคลที่รักเคารพ
เมื่อแผ่เมตตาให้ตนเป็นสักขีพยานแล้วบุคคลต่อไปในอันดับที่สอง คือ ผู้ที่เรารักเคารพ
เช่น ครูบาอาจารย์ หรือผู้ที่มีคุณธรรมเทียบเท่าครูบาอาจารย์ที่ตนเอง รัก ชอบพอ เคารพ
สรรเสริญ ก่อนที่จะเจริญเมตตาในผู้ที่เรารักเคารพนั้น เพื่อที่จะพยุงเมตตาภาวนาให้เกิดขึ้น
โดยง่าย ให้ระลึกถึงคุณงามความดีอันเป็นเหตุชวนให้เกิดความพอใจที่ได้รับจากบุคคลนั้น เช่น
การที่ให้ทานทั้งวิทยาทาน อามิสทาน ธรรมทาน ตลอดจนปิยวาจาที่ได้รับมาต่างๆ หรือระลึก
ถึงคุณธรรมที่ชวนให้เกิดความเคารพและความสรรเสริญ เช่น ความมีกิริยามารยาทอันดีงาม
การมีความรู้อย่างกว้างขวางเป็นเบื้องต้นเสียก่อน แล้วจึงเจริญเมตตาไปในท่านผู้เป็นที่รัก
เคารพนั้น ด้วยบทภาวนาว่า
เอส สปุปุริโส อเวโร โหตุ ขอท่านผู้เป็นสัตบุรุษนั้น จงอย่ามีเวรกับใคร ๆ เลย
อพฺยาปชฺโฌ โหตุ
อนีโฆ โหตุ
สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ
จงอย่าได้เบียดเบียนใครๆ เลย
จงอย่าได้มีความทุกข์เลย
ขอจงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ทั้ง
ปวงเถิด
ทั้งนี้โดยการเพียรภาวนามากเข้าๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร้อยครั้งพันครั้งหรือจนกว่าอัปปนา
สมาธิหรือเมตตาฌานจะเกิดขึ้น
5. การเจริญเมตตาตามลำดับต่อไป
แม้ว่าอัปปนาสมาธิจะเกิดขึ้น เพราะได้เจริญเมตตาไปในบุคคลที่เคารพรักแล้วก็ตาม
แต่อย่าเพิ่งพอใจด้วยความสำเร็จเพียงเท่านั้น ให้มีความปรารถนาที่จะทำเมตตา ให้เป็นสีมสัม
เภทต่อไปอีก (การทำลายขอบเขตของเมตตาไม่ให้จำกัดอยู่เฉพาะในบุคคลประเภทใด
ประเภทหนึ่ง) กล่าวคือ ถัดจากบุคคลที่รักที่เคารพนั้นแล้ว พึงเจริญเมตตาไปในบุคคลที่
รักใคร่มากเป็นลำดับที่สาม เช่น บิดามารดา บุตรธิดา สามีภรรยา ตามลำดับ ถัดจากนั้นพึงเจริญ
ไปในคนที่เป็นกลาง ๆ เป็นลำดับที่สี่ ถัดจากนั้นจึงเจริญไปในคนที่เป็นศัตรูเป็นลำดับที่ห้า
ในทางปฏิบัติเมื่อได้เจริญเมตตาไปในคนที่รักใคร่มากจนบรรลุถึงขั้นอัปปนาสมาธิ
แล้วทำฌานจิตนั้นให้อ่อนนุ่มนวลควรแก่งาน สามารถเข้าฌานออกฌานได้อย่างคล่องแคล่ว
เชี่ยวชาญดีแล้ว จากนั้นจึงข่มจิตที่มีสภาวะรักมากในคนที่รักมากนั้นให้ลดลงมาอยู่ในระดับ
ที่รักอย่างธรรมดา แล้วเพียรภาวนาต่อไปด้วยบทภาวนาว่า
34 DOU สมาธิ 7 : ส ม า ก ม ม ฏ ฐ า น 4 0 วิธี