ข้อความต้นฉบับในหน้า
จึงกำหนดเอาลักษณะที่แขนแข็งในโกฏฐาส 12 นั้นว่า ธาตุดิน
พึงกำหนดเอาลักษณะที่ร้อนในโกฏฐาส 4 ว่า ธาตุไฟ จึงกำหนดเอาลักษณะที่
เขยื้อนได้ ที่แยกออกจากธาตุไฟนั้นไม่ได้ ว่า ธาตุลม จึงกำหนดเอาลักษณะที่แขนแข็ง ที่แยก
ออกจากธาตุไฟนั้นไม่ได้ว่า ธาตุดิน จึงกำหนดเอาลักษณะที่ซึมซาบที่แยกออกจากธาตุไฟนั้น
ไม่ได้ว่า ธาตุน้ำ
พึงกำหนดเอาลักษณะที่เขยื้อนได้ในโกฏฐาส 6 ว่า ธาตุลม จึงกำหนดเอาลักษณะที่
แขนแข็งในโกฏฐาส 6 นั้นแหละว่า ธาตุดิน จึงกำหนดเอาลักษณะที่ซึมซาบได้ในโกฏฐาส 6
นั้นแหละว่า ธาตุน้ำ จึงกำหนดเอาลักษณะที่ร้อนในโกฏฐาส 6 นั้นแหละว่า ธาตุไฟ
เมื่อนักปฏิบัตินั้นกำหนดไปอย่างนั้นธาตุทั้งหลายย่อมจะปรากฏอุปจารสมาธิย่อมจะ
เกิดขึ้นแก่เธอพิจารณาธาตุทั้งหลายนั้นแล้ว ๆ เล่าๆ
แต่เมื่อนักปฏิบัติผู้ใดแม้เจริญไปอย่างนั้นกัมมัฏฐานก็ยังไม่สำเร็จ นักปฏิบัติผู้นั้นพึง
เจริญโดยสลักขณวิภัติต่อไป
4) เจริญโดยสลักขณวิภัติ
คือ พิจารณาจำแนกโกฏฐาสแห่งธาตุนั้นๆ ออก กำหนดลักษณะไปทีละอย่าง
โดยพิจารณาเอาโกฏฐาสทั้งหลายมีผมเป็นต้นโดยนัยที่กล่าวมาก่อนในสลัมภารวิภัตินั้น
มากำหนดดูลักษณะที่แขนแข็งในผมว่า ธาตุดิน จึงกำหนดดูลักษณะที่ซึมซาบในผมนั้นแหละว่า
ธาตุน้ำ จึงกำหนดดูลักษณะที่ร้อนในผมนั้นแหละว่า ธาตุไฟ จึงกำหนดดูลักษณะที่เขยื้อนได้ในผม
นั้นแหละว่า ธาตุลม จึงกำหนดดูธาตุ 4 ในโกฏฐาสหนึ่ง ๆ ไปทุกโกฏฐาสอย่างนี้ เมื่อเธอกำหนด
ไปอย่างนั้นธาตุทั้งหลายย่อมจะปรากฏอุปจารสมาธิย่อมจะเกิดขึ้นแก่เธอผู้พิจารณาธาตุทั้งหลาย
นั้น แล้ว ๆ เล่าๆ โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล
สี
เมื่อสรุปการพิจารณาธาตุ 42 ที่มีอยู่ในร่างกาย โดยความเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ
ธาตุลม และ สี กลิ่น รส โอชา แล้ว ผู้ปฏิบัติก็พึงรู้ได้ดังนี้ คือ ความเป็นธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม
รวม 3 นี้ รู้ได้โดยอาศัยการสัมผัสทางกาย ความเป็นธาตุน้ำรู้ได้โดยอาศัยการนึกคิดทางใจ
ความเป็นสีรู้ได้โดยอาศัยการเห็นทางตา เป็นกลิ่นรู้ได้โดยอาศัยการดมทางจมูก ความเป็นรส
รู้ได้โดยอาศัยการชิมทางลิ้น ความเป็นโอชารู้ได้โดยอาศัยการนึกคิดทางใจ
ถ้าผู้เจริญได้ทำการพิจารณาธาตุ 42 โดยเฉพาะๆ ไปตามลำดับดังกล่าวแล้ว แต่
ธาตุนิมิตก็ไม่ปรากฏ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องทำการพิจารณาต่อไปโดยอาการ 13 ดังต่อไปนี้
134 DOU สมาธิ 7 : ส ม ถ ก ม ม ฏ ฐ า น 4 0 วิธี