การบรรลุสีมสัมเภทและเมตตากัมมัฏฐาน MD 407 สมาธิ 7  หน้า 60
หน้าที่ 60 / 149

สรุปเนื้อหา

การบรรลุสีมสัมเภทในเมตตากัมมัฏฐานมีความสำคัญในการฝึกจิตให้มีความเสมอภาค โดยไม่มีการแยกแยะบุคคล การดำเนินการบนหนทางนี้ต้องทำลายขอบเขตของจิต ที่ทำให้มองเห็นความแตกต่างในการรักและเกลียด ซึ่งหากจิตมีความปรารถนาดีอย่างแท้จริง จะส่งผลให้สามารถแผ่เมตตาออกไปถึงโลกมนุษย์และเทวโลกได้อย่างทั่วถึงและเสมอภาค ลักษณะของสีมสัมเภทจะต้องมีจิตที่ไม่เอนเอียงและต้องยอมรับทุกสรรพสิ่งอย่างเท่าเทียม เช่น ศัตรูและคนที่รักกัน การฝึกปฏิบัติเช่นนี้จะทำให้ภิกษุเป็นผู้ประเสริฐกว่าผู้ที่ยังเห็นความแตกต่างในบุคคล 4 จำพวก ขอบเขตของเมตต้าต้องถูกทำลายเพื่อให้สามารถเป็นผู้มีจิตประเสริฐได้อย่างแท้จริง เมื่อทำลายขอบเขตนั้นได้แล้ว จะส่งผลให้เกิดความสงบและความตั้งมั่นในจิตตามที่โบราณจารย์กล่าวไว้ โดยสรุปแล้ว การบรรลุสีมสัมเภทในเมตตากัมมัฏฐานจะนำไปสู่การเจริญทางจิตอย่างแท้จริงที่สามารถให้ประโยชน์กับทั้งตนเองและผู้อื่นได้

หัวข้อประเด็น

-การบรรลุสีมสัมเภท
-เมตตากัมมัฏฐาน
-การทำลายขอบเขตในเมตตา
-จิตเสมอภาค
-ผลของการฝึกปฏิบัติ

ข้อความต้นฉบับในหน้า

ปรากฏก็เท่ากับว่าได้อุปจารสมาธิ ส่วนในเมตตากัมมัฏฐานไม่มีปฏิภาคนิมิตปรากฏให้เห็น แต่ว่าในระดับของสีมสัมเภทที่บรรลุถึง นิวรณ์ 5 ประการ ได้ถูกข่มไว้ได้กิเลสทั้งหลายที่อยู่ใน ฐานะเดียวกับนิวรณ์ก็สงบลงหมด จิตก็ตั้งมั่นด้วยดีในระดับของอุปจารสมาธิ สมสัมเภทจึงเป็น ปฏิภาคนิมิตของเมตตาภาวนา ด้วยประการฉะนี้ ลักษณะของสีมสัมเภท ในเรื่องของเมตตาที่เป็นสีมสมเภทนั้นมีตัวอย่างแสดงไว้ว่าสมมติว่าขณะที่ผู้เจริญเมตตา กำลังนั่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับคนที่รักใคร่ คนที่รู้สึกเฉยๆ คนที่เป็นศัตรู ได้มีพวกโจรเข้ามาล้อม แล้วบอกว่าจะจับไปฆ่าบูชายัญคนหนึ่งโดยถามว่าจะให้จับใครไปในกรณีนี้ถ้าบอกให้จับศัตรูหรือ จับผู้ที่รู้สึกเฉย ๆ ไม่รักไม่ฟังไป ก็ไม่ชื่อว่าทำเมตตาให้เป็นสีมส้มเภท แม้ตนเองจะยอมรับกรรมนี้ เสียเองโดยให้พวกโจรจับไป อย่างนี้ก็นับว่าไม่ถึงซึ่งสมสัมเภทอยู่นั่นเอง เพราะเมตตานั้นยังมี ขอบเขตอยู่ ต่อเมื่อมีจิตเสมอภาคจนชี้ไม่ได้ว่าจะให้จับใครไป เช่นนี้จึงจะกล่าวได้ว่าทำเมตตาให้ เป็นสีมส้มเภทอันสงเคราะห์หรือนับเนื่องเข้าในปฏิภาคนิมิตสมดังที่โบราณจารย์ได้กล่าวเอาไว้ว่า ภิกษุผู้เจริญเมตตากัมมัฏฐานนั้นตราบใดที่ยังเห็นความแตกต่าง กันอยู่ในบุคคล 4 จำพวก คือ ตน, คนที่รัก, คนที่เป็นกลาง ๆ และคนที่ เกลียดชัง ในคนใดคนหนึ่ง เรียกได้เพียงว่า เธอเป็นผู้มีจิตปรารถนาดี ในสัตว์ทั้งหลาย แต่ยังไม่จัดว่าเป็นผู้ที่มีเมตตาแท้ หรือเป็นผู้มีกุศลอัน ประเสริฐ ต่อเมื่อใด ภิกษุนั้นทำลายขอบเขตแห่งเมตตา คือ บุคคล 4 จำพวกนั้นเสียได้ จึงจะแผ่เมตตาแท้ไปทั่วโลกมนุษย์กับทั้งเทวโลก อย่างเสมอกัน ขอบเขตแห่งเมตตาไม่ปรากฏแก่ภิกษุใด เธอได้เป็นชื่อว่า เป็นผู้ประเสริฐยิ่งใหญ่กว่าคนที่ยังเห็นแตกต่างในบุคคล 4 จำพวก ข้างต้นนั้น สีมส้มเภท แปลว่า ทำลายขอบเขตของเมตตา หมายความว่า ผู้สำเร็จในสีมส้มเภทนั้น ถึงซึ่งความเป็นผู้มีจิต เสมอภาค ไม่เอนเอียงไปในบุคคล คือ อัตตะ ตนเอง, ปิยะ ผู้ที่รักใคร่, มัชฌัตตะ ผู้ที่ไม่รักและก็ไม่ชัง, เวรี ผู้ที่เป็นศัตร พ ร ห ม วิ ห า ร 4 DOU 51
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More