ข้อความต้นฉบับในหน้า
เอส อติปิยปุคฺคโล สุขิโต โหตุ, นิททุกฺโข โหตุ
ขอบุคคลที่รักใคร่มากนั้นจงมีความสุขเถิด, จงอย่ามีความทุกข์เลย
เพียรเจริญเมตตาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะถึงขั้นอัปปนาสมาธิเช่นเดียวกัน ทำฌาน
จิตนั้นให้อ่อนนุ่มนวลควรแก่งาน สามารถเข้าออกฌานได้คล่องแคล่วเชี่ยวชาญ จากนั้นจึงพยุง
จิตที่มีภาวะเฉยๆ ในคนเป็นกลาง ๆ ขึ้นสู่ความรักอย่างธรรมดา แล้วเพียรภาวนาต่อไปด้วยบท
ภาวนาว่า
เอส มชฺฌตฺโต สุขิโต โหตุ, นิททุกฺโข โหตุ
ขอคนผู้เป็นกลาง ๆ นั้น จงมีความสุขเถิด, จงอย่ามีความทุกข์เลย
เพียรภาวนาไปจนกว่าจะสำเร็จถึงขั้นอัปปนาสมาธิเช่นเดียวกัน แล้วทำฌานจิตนั้นให้
อ่อนนุ่มนวลควรแก่งาน สามารถเข้าออกฌานจนคล่องแคล่วเชี่ยวชาญดีแล้ว จากนั้นให้ข่มจิตที่
คิดจองเวรในคนที่เป็นศัตรูให้เลือนหายกลายเป็นภาวะกลางๆ แล้วยกขึ้นสู่ภาวะความรักอย่าง
ธรรมดา แล้วทำภาวนาต่อไปด้วยบทภาวนาว่า
เอส เวรีปุคฺคโล สุขิโต โหตุ, นิททุกฺโข โหตุ
ขอคนคู่เวรนั้น จงมีความสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์เลย
ทั้งนี้ให้เพียรภาวนาไปจนกว่าจะบรรลุถึงอัปปนาสมาธิเช่นเดียวกัน
เมื่อเมตตาจิตบังเกิด
มีความเท่าเทียมกันในบุคคลทั้ง 4 ประเภท คือ ตัวเอง คนที่ตนรัก คนที่ตนรู้สึกเฉย ๆ และคนที่
เป็นศัตรู (สงเคราะห์คนที่เคารพรักกับคนที่รักใคร่มากเป็นพวกเดียวกัน เพราะตั้งอยู่ในฐานะ
เป็นที่รักเหมือนกัน) ดังนี้แล้วเรียกว่า เจริญภาวนาจนเป็น สีมสัมเภทเมตตา
สำหรับผู้ที่ไม่มีบุคคลที่เป็นศัตรู ด้วยอำนาจวาสนาบารมีในชาติก่อนตามมาสนอง
หรือด้วยไม่เคยประพฤติเบียดเบียนใครให้ได้รับความเดือดร้อนในชาติปัจจุบัน
หรือเพราะเหตุที่
ตนเป็นคนชั้นมหาบุรุษมีอัธยาศัยกว้างขวาง สมบูรณ์ไปด้วยคุณธรรม คือ ขันติ เมตตา และ
กรุณาที่ได้สั่งสมมาในชาติก่อน แม้ถูกผู้อื่นเบียดเบียนให้ได้รับความเดือดร้อนก็ไม่ผูกใจเจ็บ
คิดว่าผู้อื่นก่อเวรกับตน บุคคลทั้งสองจำพวกนี้ไม่จำเป็นต้องขวนขวายว่า เมตตาจิตของเราควร
แก่งานในคนกลางๆ แล้ว บัดนี้เราจักน้อมนำเมตตาจิตไปในบุคคลผู้เป็นศัตรู ไม่จำเป็นต้องทำ
อย่างนั้น ให้เพียรทำภาวนาต่อไปจนเป็น สีมสัมเภทเมตตา
พ ร ห ม วิ ห า ร 4 DOU 35