ข้อความต้นฉบับในหน้า
ให้สำเร็จถึงขั้นฌานได้เพราะเป็นอารมณ์กัมมัฏฐานคนละชนิดอีกทั้งมีสภาพไม่ถูกกัน (วิสภาคะ)
นั่นคือ กสิณบัญญัติ หรือ อานาปานสติบัญญัติ เป็นอารมณ์ที่เน้นให้เห็นความไม่มีตัวตน เป็น
ของจำแนกแยกแยะ ส่วนสัตว์บัญญัติในอัปปมัญญาพรหมวิหาร เน้นความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล
จึงมีความแตกต่างกัน จึงไม่สามารถอุดหนุนกันได้
1. กิจเบื้องต้นก่อนการเจริญอุเบกขา
ก. ฌานลาภีบุคคลผู้มีความปรารถนาจะเจริญอุเบกขาพรหมวิหารนั้น ก่อนลงมือปฏิบัติ
จะต้องเข้าสู่ตติยฌานที่ได้ทำจนชำนาญด้วยวสีทั้ง 5 ซึ่งมาจากการเจริญเมตตา กรุณา หรือมุทิตา
อย่างใดอย่างหนึ่ง
ข. เมื่อออกจากตติยฌานแล้ว จากนั้นพิจารณาให้เห็นโทษของเมตตา กรุณา และมุทิตา
ว่า กัมมัฏฐานทั้งสามนั้น มีสภาพไม่ประณีต เนื่องจากในองค์ฌานยังประกอบด้วย
โสมนัสเวทนาอยู่ จิตใจยังสาละวนวุ่นวายยินดีรักใคร่ในเหล่าสัตว์ ทั้งยังประพฤติเป็นไปใกล้ต่อ
ความรักและความชัง จิตใจไม่ละเอียดสุขุม ต่างก็ยังสาละวนวุ่นวายอยู่กับสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงอยู่
ด้วยการส่งจิตไปว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายมีความสุขเถิด เป็นต้น ยังเป็นภาวนาที่อยู่ใกล้กับ
ความรักความชังอยู่ ทั้งยังมีอาการเป็นไปใกล้ต่อความดีใจในการที่จะต้องส่งจิตไปว่า ขอให้สัตว์
ทั้งหลายมีความสุขเถิด (เมตตา) ขอสัตว์ทั้งหลายจงพ้นจากทุกข์เสียเถิด (กรุณา) ขอสัตว์ทั้งหลาย
จงเจริญเถิด (มุทิตา) ยังประกอบด้วยองค์ฌานที่หยาบ คือ ยังประกอบด้วยโสมนัสเวทนาอยู่
ค. พิจารณาให้เห็นอานิสงส์ของอุเบกขาว่า เป็นสภาพที่ละเอียดสุขุม ประณีต ห่างไกล
จากกิเลสมาก และมีผลอันไพบูลย์ดีงามกว่าพรหมวิหาร 3 ข้อข้างต้นด้วย
2. บุคคลที่ควรเจริญอุเบกขาเป็นอันดับแรก
ต่อจากนั้นให้ทำใจเป็นกลาง ๆ ในบุคคลเป็นกลาง ๆ โดยพิจารณาว่าคนทุกคนรวมทั้ง
ตัวเราด้วย เป็นผู้มีกรรมเป็นของตน คนผู้นี้เมื่อเขามาเกิดในโลก เขาก็มาด้วยกรรมของเขาเอง
เมื่อเขาจะจากโลกนี้ไป เขาก็ต้องไปด้วยอำนาจของกรรมที่เขาทำ แม้ตัวเราก็เหมือนกัน เมื่อจะ
มาสู่โลกนี้หรือเมื่อต้องไปสู่โลกอื่นก็ด้วยอำนาจของกรรมที่เราได้กระทำไว้ทั้งสิ้น การที่เราจะ
1
วสี แปลว่าความชำนาญคล่องแคล่ว วสีทั้ง 5 คือ ชำนาญคล่องแคล่วในการนึกตรวจดูองค์ฌานที่ตนได้ออก
มาแล้ว ชำนาญในการเข้าฌานได้รวดเร็วชำนาญในการรักษาจิตไม่ให้ตกภวังค์ ชำนาญในการออกจากฌานตามที่ตนต้องการ
ช้านาญในการทวนองค์ฌาน
76 DOU ส ม า ชิ 7 : ส ม ถ ก ม ม ฏ ฐ า น 40 วิธี