เหตุแห่งทุกข์และวิถีการดับทุกข์ MD 306 สมาธิ 6  หน้า 46
หน้าที่ 46 / 156

สรุปเนื้อหา

เนื้อหานี้อธิบายถึงเหตุแห่งทุกข์ซึ่งคือกุศลมูล ได้แก่ อโลภะ อโทสะ อโมหะ และการเข้าใจทุกข์ตามหลักพุทธศาสนา โดยเฉพาะคำสอนต่างๆ เกี่ยวกับ 'สมุทัย','อวิชชา', และ 'นิโรธ' นอกจากนี้ยังระบุวิธีดับทุกข์ผ่านมรรคและอริยสัจ 4 ให้แก่ผู้ปฏิบัติธรรมที่พัฒนาตนเองเพื่อไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ อีกทั้งมีการอธิบายถึงความรู้ที่เกี่ยวข้องกับวิชชาและจรณะที่ช่วยให้เราเข้าใจสัจธรรมอย่างแจ่มแจ้ง.

หัวข้อประเด็น

-เหตุแห่งทุกข์
-อริยสัจ 4
-นิโรธ
-สมุทัย
-อวิชชา
-มรรค

ข้อความต้นฉบับในหน้า

เหตุแห่งทุกข์คือ กุศลมูล ได้แก่ อโลภะ อโทสะ อโมหะ หรือไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เหตุแห่ง ไม่ทุกข์ไม่สุขหรือ อัพยากฤต ก็คือสภาพเป็นกลาง ๆ ไม่เป็นทั้งกุศลหรืออกุศล เป็นกิริยา ประเภทสักแต่ว่าทำ เช่น ขณะกำหนดลมหายใจเข้า-ออก, การอ่านหนังสือออก, การกินข้าวอิ่ม จึงไม่เป็นเหตุแห่งสุขหรือทุกข์ สิ่งที่ลึกซึ้งกว่านี้ ว่านี้ก็คือ ทรงตรัสรู้เหตุที่ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ในสังสารวัฏ โดยมิรู้จบสิ้น หรือที่เรียกว่า “สมุทัย” ก็คือ “อวิชชา” “อวิชชา” เป็นเหตุให้เกิดการเกิดการ ดับติดต่อกันเป็นลูกโซ่ ซึ่งเรียกว่า “ปัจจยาการ” หรือ “ปฏิจจสมุปบาท” ทรงตรัสรู้ว่าถ้าดับ อวิชชาได้อย่างเดียว ทุกอย่าง “หยุด” หมด ซึ่งเรียกว่า “นิโรธ” หรือ “นิพพาน” ทรงตรัสรู้ วิธีดับอวิชชา ซึ่งเรียกว่า “มรรค” หรือ “ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา” ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแสดงถึงธรรมที่ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ คือ ธรรมทั้งหลายที่เป็น อภิญไญย (ธรรมที่พึงรู้ยิ่ง คือ อริยสัจ 4) ได้แก่ ธรรมทั้งหลายที่เป็นปริญไญย (ธรรมที่พึงกำหนดรู้ คือ ทุกขสัจ) ธรรมทั้งหลายที่เป็นปหาตัพพะ (ธรรมที่พึงละ คือ สมุทัยสัจ) ธรรมทั้งหลายที่ เป็นสัจฉิกาตัพพะธรรมที่พึงทำให้แจ้ง คือ นิโรธสัจ) ธรรมทั้งหลายที่เป็นภาเวตัพพะ ธรรม ที่พึงเจริญ คือ มรรคสัจ) โดยสรุปก็คือตรัสรู้ “อริยสัจ 4” ซึ่งมีทั้งเหตุและผล รวมทั้งวิธีดับเหตุโดยสมบูรณ์ อยู่แล้ว เนื่องจากทรงรู้และทรงเห็นแจ้งแทงตลอดในสัจธรรมอันประเสริฐเช่นนั้น พระองค์จึง ทรงพระนามว่า “สัมมาสัมพุทโธ” คือ “ทรงเป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ” 2.3.3 วิชชาจรณสัมปันโน ทรงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ทรงพระนามว่า “วิชชาจรณสัมปันโน” เพราะทรงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ พระพุทธคุณข้อนี้ประกอบด้วยองค์ 2 คือ วิชชา และจรณะ วิชชา ในที่นี้หมายถึง “ความรู้ที่กำจัดมืดเสียได้” มืดในที่นี้หมายถึงขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิชชาตรงข้ามกับ “อวิชชา” ซึ่งแปลว่า “ไม่รู้” คือไม่รู้ถูกหรือผิด เพราะเข้าไปยึดมั่นในขันธ์ 5 ว่าเป็นตัวเป็นตน จึงมืดมน ไม่รู้อริยสัจ และปฏิจจสมุปบาท เพราะ อวิชชาหรือเพราะไม่รู้ จึงยึดมั่นในขันธ์ 5 ว่าเป็นตัวเราของเรา ความยึดมั่นถือมั่นหรือมีศัพท์ อีกอย่างหนึ่งว่า “อุปาทาน” อุปาทาน หรือความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 นี้เองทำให้เรามืดมน ไม่รู้ไม่เห็นของจริง คือ “นิพพาน” วิชชา มี 2 ประเภท คือ วิชชา 3 และวิชชา 8 36 DOU สมาธิ 6 ส ม ก กั ม ม ฏ ฐ า น 4 0 วิ ธี (1)
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More