ข้อความต้นฉบับในหน้า
เนื่องมาจากกายที่กระสับกระส่ายนั้น ตรงกันข้ามคนที่มีร่างกายไม่กระสับกระส่าย นั่งอยู่บน
เตียงหรือตั่ง เตียงหรือนั่งก็ไม่โยกไม่ลั่น เครื่องปูลาดก็ไม่ยับ เพราะกายที่ไม่กระสับกระส่าย
เป็นกายที่เบา ฉันใด เมื่อลมหายใจละเอียดมากขึ้น ความกระวนกระวายทางกายก็สงบไป จึงมี
ความรู้สึกว่ากายเบาเหมือนลอยอยู่บนอากาศ
ๆ
ง. ฐปนานัย คือ ลมหยุด ขั้นนี้ใจรวม ลมหายใจเริ่มหยุด เมื่อปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ ลมก็
จะยิ่งละเอียดขึ้น ๆ ๆ จนเหมือนลมหายไป ไม่รู้สึกถึงลมกระทบเลย ผู้ปฏิบัติบางคนหวาดกลัว
เลยเลิกปฏิบัติเสียกลางคัน เมื่อรู้สึกว่าลมเบาจนหายไป ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ให้ทราบว่า
ผู้ที่ไม่มีลมหายใจมี 7 จำพวก คือ เด็กในครรภ์ คนที่ดำอยู่ในน้ำ ผู้เข้ารูปฌาน 4 คนตาย ผู้ที่
เข้านิโรธสมาบัติ รูปพรหมและอรูปพรหม ดังนี้แล้ว ให้เตือนตัวเองว่าเรายังไม่ตาย เรายังไม่ใช่
บุคคลเหล่านั้นฉะนั้นลมหายใจของเรายังมีอยู่อย่างแน่นอนแต่เป็นเพราะใจของเราเริ่มเป็นสมาธิ
หยุดนิ่ง ตั้งมั่น ลมหายใจจึงละเอียดมากจนรู้สึกเหมือนว่าไม่มีลมหายใจ ให้ทำใจนิ่ง ๆ เฉยๆ
ต่อไป แล้ววางใจ ณ จุดที่สุดของลมหายใจภายในตัวคือ ที่ศูนย์กลางกายเรื่อยไปโดยไม่ต้องคิด
อะไรทั้งสิ้น
การนับย่อมระงับวิจิกิจฉา ทำให้ละวิจิกิจฉา การติดตามย่อมระงับวิตกที่หยาบและทำให้
อานาปานสติเกิดขึ้นไม่ขาดตอน การกระทบย่อมกำจัดความฟุ้งซ่าน และทำสัญญาให้มั่นคง
ผู้ปฏิบัติย่อมบรรลุคุณวิเศษยิ่งขึ้นไป เพราะอาศัยความสุข
5.5 นิมิตของอานาปานสติ
การเจริญอานาปานสติมีนิมิต 3 อย่าง คือ “บริกรรมนิมิต” ได้แก่ ลมหายใจเข้าออก
“อุคคหนิมิต” คือ บางท่านลมหายใจเข้าออกปรากฏดังปุยนุ่น ปุ๋ยสำลีและดุจลมฝน ดุจสายน้ำ
บ้าง เปลวควันบ้าง บางท่านปรากฏเป็นเหมือนดวงดาว เหมือนพวงแก้วมณี พวงแก้วมุกดา
บางท่านปรากฏเป็นเหมือนเมล็ดข้าวและเหมือนเสี้ยนไม้แก่น บางท่านปรากฏเป็นเหมือนสาย
สังวาลที่ยาว เหมือนพวงดอกไม้และเหมือนเปลวควัน บางท่านเหมือนใยแมงมุมที่ขึงไว้ เหมือน
แผ่นเมฆ เหมือนดอกบัว ดังนี้เป็นต้น “ปฏิภาคนิมิต” คือ ลมหายใจเข้าออกที่ปรากฏเป็น
เหมือนดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงแก้วมณี เป็นต้น เมื่อปฏิบัติจนได้ปฏิภาคนิมิต ให้เอาสติ
มาตั้งไว้ที่ปฏิภาคนิมิต แล้วน้อมมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายจนใจรวมตกศูนย์เข้าถึง “ดวงปฐมมรรค”
ที่แท้จริงได้
บทที่ 5 อ าน า ป า น ส ติ และอุปสมานุสติ DOU 137