ข้อความต้นฉบับในหน้า
“ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธินี้แล ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็น
สภาพสงบ ประณีต สดชื่น เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข และยังอกุศลธรรมชั่วร้ายที่เกิดขึ้นแล้วๆ
ให้อันตรธานสงบไปโดยพลันเปรียบเสมือนฝนใหญ่ที่ตกในสมัยมิใช่ฤดูกาล ยังฝุ่นละอองที่ฟัง
ขึ้นในเดือนท้ายฤดูร้อน ให้อันตรธานสงบไปโดยพลัน ฉะนั้น”
5.2 ความหมายของอานาปานสติ
อานาปานสติมาจากคำ 3 คำ ได้แก่ อานะ คือ ลมหายใจเข้า อปานะ คือ ลมหายใจ
ออก สติ คือ ความระลึก ในคัมภีร์มหานิเทศกล่าวว่า อานาปานสติ หรือ อานาปานัสสติ คือ
การระลึกอยู่ในลมหายใจเข้าออก หรือ สติที่เกิดขึ้นโดยมีการระลึกอยู่ในลมหายใจเข้าออก
ลมหายใจนั้นมีอยู่ 2 อย่าง คือลมหายใจเข้ากับลมหายใจออก ในอรรถกถาพระวินัย
ลมหายใจเข้า ท่านใช้คำว่า อัสสาสะ ลมหายใจออก ท่านใช้คำว่า ปัสสาสะ แต่ในอรรถกถา
พระสูตรท่านเรียกตรงข้าม คือ อัสสาสะ แปลว่าหายใจเข้า ปัสสาสะ แปลว่า หายใจออก ลมหายใจ
เข้าออกนี้ปรากฏขึ้นเมื่อแรกเกิดของทารกที่ออกจากครรภ์ กล่าวคือ ในเวลาทารกคลอดออกจาก
ครรภ์มารดา ลมจากภายในครรภ์ออกมาภายนอกก่อน แล้วภายหลังลมภายนอกจึงได้พาธุลี
ละเอียดเข้าไปภายใน พอถึงเพดานปากก็ดับในที่นั้น
5.3 วิธีเจริญอานาปานสติในพระไตรปิฎก
ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงวิธีการเจริญอานาปานสติที่เป็นลำดับ 16 ขั้นตอน จนกระทั่ง
ผู้ปฏิบัติสามารถหมดกิเลส
ในการปฏิบัติเมื่อต้องการเจริญอานาปานสติ พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้เข้าไปสู่ป่า
โคนไม้ หรือเรือนว่าง แล้วให้นั่งคู่บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า มีสติกำหนด
ลมหายใจเข้าออก ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า
“ภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดีอยู่ที่โคนไม้ก็ดีอยู่ที่เรือนว่างก็ดี นั่งคู่บัลลังก์ตั้งกายตรง
ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า ฯลฯ
ในอรรถกถาท่านอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสำคัญของการเจริญอานาปานสติแล้ว
1-2 สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค, มก. เล่มที่ 24 ข้อ 1352 หน้า 230
บทที่ 5 อ าน า ป า น ส ติ และอุปสมานุสติ DOU 127