ข้อความต้นฉบับในหน้า
จิตรู้การเข้ามาและออกไปของอารมณ์ ซึ่งรู้ได้ด้วยวิธีการ 2 อย่าง คือ โดยความไม่หลง และ
โดยอารมณ์
10. ย่อมศึกษาว่าเราทำจิตให้รื่นเริงหายใจเข้าออก ปีติ คือ ความรื่นเริง ซึ่งปีติเกิดขึ้น
ในฌานที่ 2 ทำจิตให้รื่นเริงด้วยอำนาจสมาธิและวิปัสสนา
11. ย่อมศึกษาว่าเราทำจิตให้ตั้งมั่นหายใจเข้าออก นั้นคือ ผู้ปฏิบัติใส่ใจถึงลมหายใจ
ที่เข้ามาและออกไป ได้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์และด้วยฌาน เมื่อทำจิตให้ตั้งมั่นแล้ว ความ
สำเร็จก็เกิดขึ้น (ประสบความสำเร็จในการเจริญอานาปานสติ)
12. ย่อมศึกษาว่าเราทำจิตให้หลุดพ้นหายใจเข้าออก ผู้ปฏิบัตินั้นได้ใส่ใจถึงลมหายใจ
เข้าลมหายใจออก ถ้าจิตเฉื่อยชา หดหู่ ก็ทำให้หลุดพ้นจากความเฉื่อยชา หดหู่ ถ้าจิตขวนขวาย
มากเกินไปเกิดความฟุ้งซ่าน ก็ทำจิตให้พ้นจากความฟุ้งซ่าน ถ้าจิตฟูขึ้น ก็ทำจิตให้พ้นจากราคะ
ถ้าจิตคับแค้น ก็ทำจิตให้พ้นจากความคับแค้น ถ้าจิตเศร้าหมอง ก็ทำจิตให้พ้นจากอุปกิเลส
(โทษเครื่องเศร้าหมอง) ถ้าจิตไม่มุ่งต่ออารมณ์และไม่พอใจอยู่ในอารมณ์นั้น ก็ทำจิตให้มุ่งหน้า
ต่ออารมณ์นั้น การทำดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ เรียกว่าทำจิตให้หลุดพ้น
13. ย่อมศึกษาว่าเรากำหนดรู้ความไม่เที่ยงหายใจเข้าออก คือ การกำหนดรู้
ลมหายใจเข้าออก อารมณ์ของลมหายใจเข้าออก จิต และเจตสิก และการเกิดขึ้นของจิตและ
เจตสิกนั้น
14. ย่อมศึกษาว่าเราเห็นความไม่กำหนัดหายใจเข้าออก คือ กำหนดลมหายใจเข้าออก
ด้วยความคิดอย่างนี้ว่า “นี้ คือความไม่เที่ยง นี้คือความไม่กำหนัด นี้คือความดับ นี้เป็นนิพพาน”
15. ย่อมศึกษาว่าเราเห็นความดับกิเลสหายใจเข้าออก คือ เมื่อเรารู้ชัดนิวรณ์
ทั้งหลายตามความเป็นจริงแล้วคิดว่า นิวรณ์เหล่านี้ไม่เที่ยง ความดับของนิวรณ์เหล่านี้ คือ
นิพพาน เรามีความเห็นที่สงบ
* จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์
2 เจตสิก คือ ธรรมที่ประกอบกับจิต, อาการหรือคุณสมบัติของจิต หมายถึงกิเลสและคุณธรรมทั้งปวง เช่น
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรัทธา เมตตา สติ ปัญญา เป็นต้น
* นิวรณ์ คือ ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี มีอยู่ 5 อย่าง คือ กามฉันทะ (ความพอใจในกามคุณ5) พยาบาท
(ความปองร้ายผู้อื่น) ถีนมิทธะ (ความหดหู่เซื่องซึม) อุทธัจจกุกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
132 DOU สมาธิ 6 ส ม ก กั ม ม ฏ ฐ า น 4 0 วิ ธี (1)