ข้อความต้นฉบับในหน้า
กระเพาะเป็นที่ที่หมู่หนอน (ตัวพยาธิ) อันมีแตกต่างกันถึง 32 ตระกูล มีชนิดตักโกฏกะ
(พยาธิปากขอ) ชนิดคัณฑุปปาทกะ (พยาธิตัวกลม) ชนิดตาลพีรกะ (พยาธิเสี้ยนตาล) ชนิด
สูจิมุขกะ (พยาธิตัวจี๊ด) ชนิดปฏตันตุ (พยาธิตัวแบน) ชนิดสุตตกะ (พยาธิเส้นด้าย) เป็นต้น
อาศัยอยู่กันคลาคล่ำเป็นกลุ่ม ๆ ไป เมื่อของกินมีน้ำและข้าว เป็นต้น ไม่มีอยู่ในอุทร พยาธิก็
พากันหิว พากันกัดกินไส้ในพุง ทำให้รู้สึกเจ็บปวดในท้องไม่สบาย พออาหารตกลงไป พวกพยาธิ
ก็จะพากันชูปากตะลีตะลานเข้าแย่งอาหารที่คนกลืนลงไปแรกๆ 2-3 คำ ในอุทรเปรียบได้กับ
บ่อน้ำครำอันสกปรก เต็มไปด้วยอุจจาระ ปัสสาวะ เสมหะ น้ำลาย เนื้อ หนัง กระดูก เอ็น แหลก
เป็นชิ้นน้อยใหญ่หมักหมมอยู่ เมื่อไฟธาตุเข้าทำการย่อยก็ขึ้นเป็นฟองปุด ๆ มีสีเขียวคล้ำต่างๆ
มีกลิ่นเหม็นน่ารังเกียจ อาหารที่ถูกบดถูกเคี้ยวด้วยฟัน ผสมกับน้ำลายปนกับน้ำดี เสมหะ ไม่ผิด
กับอาเจียนของสุนัขยังเป็นฟองฟอด มีหมู่หนอนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด อาหารทั้งหมดที่กินเข้าไปนั้น
เหล่าหนอนพยาธิกินเสีย 1 ส่วน ไฟธาตุไหม้ไปเสีย 1 ส่วน ไปหล่อเลี้ยงร่างกาย 1 ส่วน
เป็นน้ำปัสสาวะไป 1 ส่วน เป็นอาหารเก่าไป 1 ส่วน ส่วนที่ไปเลี้ยงร่างกาย เลี้ยงเสร็จแล้ว ก็
ไหลออกมาเป็นขี้หู ขี้ตา ขี้มูก ขี้ฟัน ฯลฯ ตามทวารทั้ง 9 ล้วนแต่น่ารังเกียจยิ่งนัก
19. อาหารเก่า (กรีส์)
ได้แก่
อุจจาระ
โดยสี : มีสีดังอาหารที่กลืนเข้าไป
โดยสัณฐาน : มีสัณฐานตามโอกาสที่มันถูกบรรจุอยู่ ถ้าอยู่ในกระเพาะ รูปร่างก็
เหมือนกระเพาะ ถ้าไปค้างอยู่ที่ลำไส้ ก็มีรูปร่างเหมือนลำไส้
โดยทิศ : เกิดในทิศเบื้องล่าง
โดยอากาส : ตั้งอยู่ในลำไส้ตรง เป็นเสมือนกระบอกไม้ไผ่ สูงประมาณ 8 องคุลี อยู่ที่
ปลายไส้ใหญ่ ในระหว่างใต้สะดือและโคนข้อสันหลังซึ่งเป็นที่ที่ของกิน มีน้ำและข้าว เป็นต้น
บ ท ที่ 4 ก า ย ค ต า ส ติ
DOU 107