ข้อความต้นฉบับในหน้า
สมาธิและวิริยะจะได้มีกำลังเสมอกัน อันจะทำให้ได้ ฌาน มรรค และผล
การปฏิบัติตามหลัก อธิจิตตสูตร นั้น ผู้ปฏิบัติต้องพิจารณาในนิมิตทั้ง 3 คือ
สมาธินิมิต จิตใจเข้าสู่ความสงบ
ปัคคหนิมิต จิตใจเกิดความพยายาม
อุเบกขานิมิต ความวางเฉย
นิมิตทั้ง 3 นี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติต้องพิจารณาว่า อย่างใดมากเกินไปหรือน้อย
เกินไป แล้วแก้ไขเพิ่มเติมนิมิตนั้นๆ ให้เสมอกัน จนกระทั่งสมาธิของตนขึ้นสู่ขั้นอธิจิต คือ สมาธิ
ที่มีกำลังยิ่ง สามารถทำจิตให้อยู่นิ่งในอารมณ์กัมมัฏฐานได้ ทั้งนี้เพราะถ้าปล่อยให้ไม่เสมอกัน
จะบังเกิดโทษคือ
ถ้าสมาธินิมิตมาก ทำให้เกิดโกสัชชะความเกียจคร้านขึ้น
ถ้าปัคคหนิมิตมาก ทำให้ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น
ถ้าอุเบกขานิมิตมาก การปฏิบัติจะไม่ได้ผลถึงฌาน มรรค และผล
ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงไม่ควรใฝ่ใจในนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งให้มากเกินไป แต่ควรใส่ใจใน
นิมิตทั้ง 3 ให้เสมอกัน พระพุทธองค์ทรงอุปมาไว้ว่า เสมือนนายช่างทอง ก่อนที่จะทำทอง ต้อง
ผูกเบ้า ครั้นผูกแล้วจึงฉาบทาปากเบ้า ครั้นฉาบปากเบ้าแล้วจึงเอาคีมหยิบทองใส่เข้าที่ปากเบ้า
แล้วเป่าตามกาลอันควร พรมน้ำ ตามกาลอันควร พักตามกาลอันควร เมื่อทำได้ถูกส่วนดังนี้แล้ว
ทองนั้นย่อมเป็นของอ่อน ควรแก่การงาน ผุดผ่องและทั้งสุกปลั่ง ใช้ทำสิ่งใดก็ได้ดี ถ้าหากว่า
การงานทั้ง 3 อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่ากันและกัน ทองทั้งหม้อนั้นก็จะไหม้ละลายไป
หรือเย็นเกินไปก็จะไม่สุกปลั่ง จะทำเป็นเครื่องประดับอันใดก็มิได้
การปฏิบัติตามหลัก สีติภาวสูตรนั้น พระโยคีบุคคลต้องปฏิบัติตามข้อธรรม 6 ประการ
เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานที่เรียกว่า สีติภาวะ ความเยือกเย็นอย่างยอด ธรรม 6 ประการ
ดังกล่าวนั้น ได้แก่
1. ย่อมข่มจิตในคราวที่ควรข่ม คือ จิตมีความเพียรมากไป จะต้องลดลง
1 สัมโมหวิโนทินี อรรถกถาวิภังค์ มก, เล่มที่ 78หน้า 63
* สัมโมหวิโนทินี อรรถกถาวิภังค์ มก, เล่มที่ 78หน้า 64
118 DOU สมาธิ 6 ส ม ก กั ม ม ฏ ฐ า น 4 0 วิ ธี (1)