ข้อความต้นฉบับในหน้า
3. สมมติมรณะ คือ ความตายที่ชาวโลกสมมติกัน เช่น นาฬิกาตาย รถตาย ต้นไม้ตาย
เหล็กตาย เป็นต้น
4. ชีวิตินทรียุปัจเฉทมรณะ คือ ความตายในภพหนึ่ง ๆ ชาติหนึ่ง ๆ เมื่อชีวิตรูปนาม
ดับสิ้นลงไป
การเจริญมรณานุสติ ไม่สามารถทำได้กับสมุทเฉทมรณะ ขณิกมรณะ และสมมติมรณะ
เพราะสมุทเฉทมรณะมีได้น้อย มีแต่เฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น เราจึงไม่สามารถเห็นได้ทั่วไป
ส่วนขณิกมรณะ (การเกิดดับเป็นไปทุกขณะ) เราไม่สามารถเห็นความจริงของการเกิดดับนั้น
ส่วนสมมติมรณะนั้น ก็ไม่ทำให้เราเกิดความสังเวชใจ การพิจารณาความตายจึงต้องพิจารณา
ชีวิตินทรียุปัจเฉทมรณะ อันเป็นความตายที่เกิดกับทุกคน เห็นได้ชัด มีการตายเกิดขึ้นทุกวัน
สำหรับความตายในภพชาติหนึ่ง หรือชีวิตินทริยุปัจเฉทมรณะ สามารถแบ่งตามกาลได้
2 อย่าง คือ กาลมรณะ และอกาลมรณะ
1. กาลมรณะ ได้แก่ ความตายไปตามกาลเวลา คือ ตายเพราะสิ้นบุญ สิ้นอายุ หรือ
เพราะสิ้นทั้งสองอย่าง
ความตายเพราะสิ้นบุญ คือ แม้จะมีปัจจัยที่จะทำให้มีอายุอยู่ต่อไปได้ แต่ก็มีวิบาก
กรรมเก่ามาตัดรอนทำให้ต้องตาย
ความตายเพราะสิ้นอายุ คือ มีชีวิตอยู่จนหมดช่วงอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคนั้นๆ
เช่น ในปัจจุบันอายุขัยเฉลี่ย คือ 75 ปี ก็มีอายุยืนไปจนหมดอายุขัยและตายในที่สุด เพราะ
ความไม่มีสมบัติ เช่น คติ กาล และอาหาร เป็นต้น
ผู้ที่มีชีวิตอยู่นานจึงตาย เรียกว่าตายไปตามกาลเวลาหรือตายในเวลาควรตาย
เปรียบเหมือนอสรพิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรง ได้กัดบุคคลคนใดคนหนึ่งให้ถึงซึ่งความตาย ไม่มียา
แก้พิษ พิษของงูนั้น เรียกว่าถึงที่สุดฉันใด ผู้ที่มีอายุอยู่นาน สิ้นอายุแล้วก็ตายไปก็ฉันนั้น ฯ
อีกอย่างหนึ่ง นายขมังธนูยิงลูกธนูออกไป ลูกธนูนั้นจะต้องไปจนสุดกำลัง ในเมื่อ
ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง ฉันใด ผู้ที่มีชีวิตอยู่นาน ก็ตายด้วยสิ้นอายุฉันนั้น ลูกธนูที่มีสิ่งกีดขวางก็ไป
ไม่ถึงที่สุดฉันใด พวกมีสิ่งขัดขวาง ก็ตายในเวลายังไม่ถึงที่สุดแห่งอายุฉันนั้น
อีกอย่างหนึ่ง เสียงภาชนะทองเหลืองที่มีผู้ตี จะต้องดังไปจนสุดเสียง ในเมื่อไม่มีสิ่ง
ขัดขวาง ฉันใด บุคคลก็ต้องตายในเวลาแก่ เวลาสิ้นอายุ ในเมื่อไม่มีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่ง
ฉันนับ
บ ท ที่ 3 ม ร ณ า นุ สติ
DOU 65