ข้อความต้นฉบับในหน้า
๒๘
ธรรมอรหัต ทั้งหยาบทั้งละเอียดนี้เป็นขั้นวิปัสสนาทั้งนั้น ที่เรามาเรียน
สมถวิปัสสนาวันนี้ ต้องเดินแนวนี้ผิดแนวนี้ไม่ได้ และก็ต้องเป็นอย่างนี้ ผิด
อย่างนี้ไปไม่ได้ ผิดอย่างนี้ไปก็เลอะเหลว ต้องถูกแนวนี้”
ธรรมกายเป็นวิปัสสนา
จากพระธรรมเทศนาเรื่อง ติลกขณาทิคาถา ซึ่งหลวงพ่อวัดปากน้ำ
ได้แสดงไว้ เมื่อวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๗ ท่านยืนยันไว้ว่าธรรมกาย
เป็นวิปัสสนาแน่นอน ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
“กายมนุษย์นี่แหละเป็นตัวโดยสมมุติ กายมนุษย์ละเอียดก็เป็น
ตัวโดยสมมุติไม่ใช่ตัวจริงๆ ไม่ใช่ตัวโดยวิมุตติ ทั้ง ๔ กาย กายทิพย์
กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม
อรูปพรหมละเอียด เป็นตัวโดยสมมุติทั้งนั้น เป็นตัวโดยวิมุตติล่ะ กายธรรม
กายธรรมละเอียด กายโสดา โสดาละเอียด กายธรรมสกทาคา สกทาคา
ละเอียด กายธรรมอนาคา อนาคาละเอียด กายธรรมอรหัต อรหัตละเอียด
นี่เป็นตัวโดยวิมุตติทั้งนั้น เป็นชั้น ๆ ไปเป็นตัววิมุตติ แต่ว่าถึงกายพระอรหัต
ถึงวิราคธาตุวิราคธรรมทีเดียว ถึงวิราคธาตุวิราคธรรม ถึงกระนั้นที่จะไป
เป็นพระอรหัต เป็นตัววิมุตติแท้ๆ ทีเดียว เข้าถึงวิราคธาตุวิราคธรรม ออก
จากสราคธาตุสราคธรรมไปทีเดียว นี่ความจริงเป็นอย่างนี้
ถ้าว่ามีวิปัสสนาเห็น มีวิปัสสนาก็มีธรรมกาย เห็นด้วยตา
ธรรมกายนั่นแหละเรียกว่า วิปัสสนา แปลว่าเห็นแจ้งเห็นวิเศษ เห็น
ต่าง ๆ เห็นไม่มีที่สุด ตาธรรมกายโคตรภูเห็นแค่นี้ ตาธรรมกายโสดา
โสดาละเอียดเห็นแค่นี้ สกทาคา สกทาคาละเอียดเห็นแค่นี้ พระอนาคา
อนาคาละเอียดเห็นแค่นี้ พระอรหัต อรหัตละเอียดเห็นแค่นี้ หนักขึ้นไป
ไม่มีที่สุด นับอสงไขยไม่ถ้วน เห็นไม่มีที่สุด รู้ไม่มีที่สุด เห็น จำ คิด รู้เท่ากัน
เห็นไปแค่ไหนรู้ไปแค่นั้น จำไปแค่ไหนรู้ไปแค่นั้น คิดไปแค่ไหนรู้ไปแค่นั้น
เท่ากัน ไม่ยิ่งไม่หย่อนกว่ากัน นี่อย่างนี้เรียกว่า วิปัสสนา เห็นอย่างนี้เห็น
ด้วยตาธรรมกาย
จากยอดดอย