ข้อความต้นฉบับในหน้า
๑๑๖
อธิบายถึงหลักธรรมคำสอนนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง ถึงเหตุผลว่า ทำไม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ยกหลักธรรมนี้มาทรงแสดง เมื่อได้ปฏิบัติตาม
คำสอนแล้ว ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร ดังที่จะได้ยกตัวอย่างพระธรรม
เทศนาตอนหนึ่งที่พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ได้แสดงไว้เมื่อ
๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ว่า
วันที่
“จะสังเกตได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนธรรมะโดยพระองค์ทรง
ทราบดีว่า ใจเรานั้นคุ้นกับอะไร ใจเราก็คุ้นกับโลก คุ้นกับรูป เสียง กลิ่น รส
สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่เห็น ได้ยิน ได้ดม ได้ลิ้มรส ได้ถูกต้องสัมผัส ได้
นึกคิดตามอายตนะต่าง ๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
สังเกตดู ท่านจะทรงสอนโดยมีหลักการว่า ให้ละ ให้วาง ให้เบื่อหน่าย
ให้คลายความกำหนัด ความยึดมั่นถือมั่น โดยพระพุทธองค์ท่านได้ทรงชี้ให้
เห็นว่า ทุกสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ดม ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส นึกคิดทางใจว่า
สิ่งเหล่านี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา บทสรุปพระไตรปิฎกก็มีอยู่แค่นี้
คือพิจารณาตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ดม ฯลฯ ตาม
อายตนะต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ของจริง เป็นของชั่วคราวไม่ใช่ของแท้
เพราะฉะนั้นอย่าไปติดอกติดใจอะไรเลย มันเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ และ
มีปัญหาปนมา ทรงสอนอย่างนี้เพื่อให้เบื่อหน่าย ให้คลาย พอเบื่อหน่าย
พอคลาย จิตก็บริสุทธิ์ หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้น ลองไปอ่านพระไตรปิฎกดูเถอะ
ก็จะสอนเพื่อให้ละให้วางในสิ่งที่ไม่ใช่ของจริงไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต ไม่มีชีวิต
หรืออะไรก็แล้วแต่ ล้วนตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา เป็นของเปลี่ยนแปลง ไม่มีความสุขเจือในนั้นเลย ไม่เป็นอิสระ
บังคับก็ไม่ได้ เดี๋ยวก็แปรปรวนกันไป ควบคุมไม่ได้บังคับไม่ได้ จะให้เป็น
อย่างนี้ก็เป็นอย่างนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา
ท่านจะสอนอย่างนี้เพื่อให้ตัวเราเบื่อหน่ายคลายกำหนัด พอเบื่อหน่ายคลาย
กําหนดแล้วใจจะไปไหน ใจก็จะกลับเข้ามาสู่ปริมณฑลของใจ หยุดนิ่ง
ในฐานที่ตั้งเดิมซึ่งอยู่ภายในตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เองโดยธรรมชาติ
บ
จากยอดดอย