ข้อความต้นฉบับในหน้า
หนังสือมิลินทปัญหา เป็นต้น ซึ่งพอจะสรุปสาเหตุที่คัมภีร์เหล่านี้ กล่าวถึงการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อุบัติ
ขึ้นในคราวเดียวกันหลายพระองค์ไว้ดังนี้
1. ตรัสรู้ธรรมเดียวกันและเหมือนกันทั้งหมด หมายความว่า การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธ
เจ้าทุกพระองค์ แม้จะแสดงว่าสิ่งที่ตรัสรู้นั้น ไม่มีบุคคลใดเคยรู้ ไม่เคยมีบุคคลใดสอนมาก่อน แต่การตรัสรู้
นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว และพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ตรัสรู้สิ่งเดียวกัน ฉะนั้นเมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์
อื่นเสด็จอุบัติพร้อมกัน ก็จะทำให้พระองค์เป็นผู้ไม่น่าอัศจรรย์ แม้เทศนา คือคำสอนของพระองค์ก็ไม่น่าอัศจรรย์
แต่ถ้ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นองค์เดียว ก็จะทำให้พระองค์เป็นผู้น่าอัศจรรย์ เพราะความรู้นั้นไม่มี
บุคคลใดเคยรู้มาก่อน ไม่มีบุคคลใดสอนมา จึงทำให้พระองค์ชื่อว่า ตรัสรู้เองโดยชอบ และแม้แต่เทศนาของ
พระองค์ก็เป็นของน่าอัศจรรย์
2. ทำให้พุทธบริษัทแบ่งเป็น 2 ฝ่าย หมายความว่า เมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 2 พระองค์
แล้วทรงช่วยกันสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็จะทำให้พุทธบริษัทแบ่งเป็น 2 ฝ่าย เพราะต่างก็ถือเอาทิฏฐิใน
สำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตนนับถือ และจะทำให้มีการทะเลาะวิวาทกันเอง ซึ่งทำให้เทศนาของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า และไม่ได้ผลดังที่ปรารถนาไว้
3. แผ่นดินไม่อาจรองรับได้ หมายความว่า หมื่นโลกธาตุนี้ รองรับได้เฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพียงพระองค์เดียว รองรับไว้ได้ซึ่งพระคุณของพระตถาคตองค์เดียวเหมือนกัน ถ้าองค์ที่ 2 จึงเสด็จอุบัติขึ้น
หมื่นโลกธาตุนี้จะไม่สามารถรองรับไว้ได้ จึงหวั่นไหวสั่นคลอน น้อมไป โอนไปเอียงไป เรี่ยราย
กระจัดกระจายพินาศไป ไม่พึงเข้าถึงการตั้งอยู่ได้ เปรียบเสมือนเรือที่รับบุรุษไว้ได้คนเดียว เมื่อบุรุษคนหนึ่ง
ขึ้นไป เรือจึงตั้งอยู่ได้พอดี ถ้าบุรุษคนที่สองซึ่งเป็นเช่นเดียวกันโดยอายุ โดยสี โดยวัย โดยประมาณ
โดยอ้วนและผอม โดยอวัยวะน้อยใหญ่เท่ากัน บุรุษนั้นจึงขึ้นสู่เรือลำนั้น เรือนั้นจึงต้านไว้ไม่ได้ จึงหวั่นไหว
สั่นคลอนน้อมไป โอนไป เอียงไป เรี่ยราย กระจัดกระจาย พินาศไป ไม่พึงเข้าถึงการตั้งอยู่ได้ เรือนั้นจึงจม
ลงไปในน้ำ อีกอุปมาหนึ่งว่า เปรียบเหมือนเกวียน 2 เล่ม บรรจุด้วยรัตนะจนเต็ม และคนทั้งหลายพากันขน
เอารัตนะของเกวียนอีกเล่มหนึ่งมาเพิ่ม เกวียนเล่มนั้น ย่อมทานไว้ไม่ได้แน่ ดุมของเกวียนนั้นจึงไหวบ้าง
กำของเกวียนนั้นจึงหักไปบ้าง เพลาของเกวียนนั้น จึงหักไปบ้าง ด้วยการขนรัตนะที่มากเกินไป
4. ไม่ชื่อว่า เป็นบุคคลผู้ประเสริฐ เป็นเอกบุคคล หมายความว่า เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา
อุบัติขึ้นพร้อมกันในคราวเดียวกัน ก็จะทำให้พระพุทธองค์ ไม่ใช่เป็นเอกบุคคลอีกต่อไป เพราะพระพุทธเจ้า
พระองค์อื่นก็มีอยู่บนโลก ซึ่งทำให้คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศ คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็น
ผู้เจริญที่สุด คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐที่สุด คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้วิเศษ
ที่สุด คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สูงสุด เป็นผู้ประเสริฐ ไม่มีผู้เสมอเหมือน เป็นผู้หาบุคคลเปรียบ
ไม่ได้ คำเหล่านี้ ก็ย่อมเป็นคำที่ไม่เป็นความจริงอีกต่อไป อุปมาเหมือนกับ มหาปฐพีอันกว้างใหญ่ย่อมเป็นอัน
เดียวกัน มหาสมุทรทะเลใหญ่ก็ย่อมเป็นอันเดียวกัน เทวดาผู้เป็นใหญ่ปกครองสวรรค์แต่ละชั้นก็ย่อมมีเพียง
องค์เดียว ฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นผู้เลิศ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นเอกบุคคล ไม่มีผู้เสมอเหมือน จึง
เสด็จอุบัติขึ้นเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
5. เป็นสภาพปกติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ หมายความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทุกพระองค์อุบัติขึ้นในโลกนี้เป็นสภาพตามปกติ เพราะคุณของพระสัพพัญญูเจ้าทั้งหลาย มีเหตุใหญ่ มีคุณ
อันประเสริฐอย่างใหญ่หลวง อุปมาเหมือนกับแผ่นดินใหญ่นั้นมีผืนเดียวเท่านั้น สาครใหญ่มีสายเดียวเท่านั้น
บทที่ 2 ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า DOU 35