ความแตกต่างของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า GL 204 ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หน้า 56
หน้าที่ 56 / 209

สรุปเนื้อหา

บทความนี้สำรวจความแตกต่างของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีความแตกต่างในยานพาหนะ บัลลังก์ การบำเพ็ญเพียรและการสร้างบารมีของแต่ละพระองค์ซึ่งส่งผลต่อคุณสมบัติและคุณธรรมของพวกท่านอย่างมากมาย แม้พระทุกองค์จะเป็นมนุษย์ธรรมดาแต่ได้ทำการสั่งสมบารมีอย่างยาวนานเพื่อมาตรัสรู้และเป็นที่ยอมรับในทุกสรรพสัตว์ ซึ่งหมายความถึงความต่างที่ไม่เพียงแต่เกิดจากการอุบัติขึ้นในแต่ละเวลา แต่ยังรวมถึงระยะเวลาในการฝึกฝนและความตั้งใจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับทุกข์ที่เกิดจากการเกิดและความเข้าใจที่ถูกต้องของพวกท่าน

หัวข้อประเด็น

- ยานพาหนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ความแตกต่างของโพธิพฤกษ์
- ประเภทของบัลลังก์
- การสั่งสมบารมีและความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ความเข้าใจในทุกข์และการตรัสรู้

ข้อความต้นฉบับในหน้า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมียาน คือ พาหนะที่ทรงประทับในวันที่ออกบวชไม่เหมือนกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางพระองค์ทรงประทับด้วยช้าง บางพระองค์ประทับด้วยม้า บางพระองค์ประทับด้วยรถ บางพระองค์ ดำเนินด้วยพระบาท หรือปราสาท หรือวอ เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างเช่น พระสมณโคดมพุทธ เจ้าของพวกเรา ทรงประทับด้วยม้า ในวันที่ออกบวช ความแตกต่างกันของโพธิพฤกษ์ คือ ความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับนั่งบำเพ็ญเพียรใต้ ต้นไม้ที่ต่างชนิดกัน หมายถึง ต้นไม้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับนั่งในวันตรัสรู้นั้นต่างประเภทกัน เช่น พระสุเมธพุทธเจ้า มีโพธิพฤกษ์ชื่อ นีปะ คือ ต้นกะทุ่ม พระสิทธัตถพุทธเจ้า มีโพธิพฤกษ์ชื่อ กณิการะ คือ ต้นกรรณิการ์ พระสมณโคดมพุทธเจ้า มีโพธิพฤกษ์ชื่อ อัสสัตถะ คือ ต้นโพธิ์ เป็นต้น ความแตกต่างกันของบัลลังก์ คือ บัลลังก์ที่ประทับในวันตรัสรู้ต่างกัน หมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงใช้บัลลังก์ที่ประทับมีความสูงที่ไม่เท่ากันในวันตรัสรู้ เช่น พระวิปัสสีพุทธเจ้า มีบังลังก์สูง 53 ศอก พระสุมนพุทธเจ้า มีบังลังก์สูง 60 ศอก พระสมณโคดมพุทธเจ้า มีบังลังก์สูง 14 ศอก เป็นต้น ความแตกต่างกันของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็นความแตกต่างกันที่ เกิดจากการสั่งสมบ่มบารมี ตลอดจนระยะเวลาในการฝึกฝนตนเองระหว่างเส้นทางการสร้างบารมีและช่วง เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงมาอุบัติขึ้นนั้นต่างกัน สิ่งเหล่านี้จึงทำให้แต่ละพระองค์มี ความต่างกันในเรื่องดังที่กล่าวมาแล้ว ถึงแม้ทุกพระองค์จะสั่งสมบารมีมาเหมือนกัน เพื่อให้ได้คุณสมบัติและ คุณธรรมที่เหมือนกัน จนกระทั่งได้มาตรัสรู้ในสิ่งเดียวกัน แต่ทุกพระองค์ก็ได้รับผลในชาติสุดท้ายไม่เหมือนกัน ถึงแม้จะมีบารมีที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตาม บทสรุป จากที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็คือ มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้ เป็นเทพเจ้าผู้วิเศษหรือเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ และไม่ได้เป็นผู้สร้างสรรพชีวิตหรือสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก แต่เป็น บุคคลที่ตั้งความปรารถนาที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้สั่งสมบารมีอย่างมากมาย ซึ่งการ สร้างบารมีนั้นไม่ใช่เพียงแค่ทำวันนี้หรือพรุ่งนี้แล้วจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย แต่ทุกพระองค์ต่าง ต้องสั่งสมบารมีมาเป็นเวลายาวนานหลายภพหลายชาติ โดยอย่างน้อยที่สุดต้องสร้างบารมี 20 อสงไขยกับ แสนมหากัป อย่างเช่นพระโคดมพุทธเจ้า พระองค์ปัจจุบันนี้ แต่ถ้าสร้างบารมีกันยาวนานที่สุดก็ 80 อสงไขย กับแสนมหากัป เมื่อบารมีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ก็ได้มาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้พระองค์จึง ทรงมีพระคุณและคุณประโยชน์อย่างมากมายต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย และทำให้พระองค์ได้ที่สุดแห่งรูปสมบัติ คือ กายมหาบุรุษที่ใครก็ตามที่ได้พบเห็นก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา เทิดทูนบูชา นอกจากนี้ยังทำให้พระองค์ ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะได้เข้าถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายในกายของพระองค์ การสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในแต่ละพระองค์ก็สร้างบารมีกันมายาวนาน ทรงเกิดใน ภพต่างๆ เป็นอันมาก และด้วยการเวียนว่ายตายเกิด ด้วยการฝึกฝนอดทน มุ่งมั่นตั้งใจอย่างมาก จึงเป็น เหตุให้พระพุทธองค์ทรงมีปัญญากว้างขวาง เป็นพระสัพพัญญูรอบรู้ทุกสิ่งทั้งปวง เพราะพระองค์ได้สะสม ปัญญามาจากการเกิดในแต่ละชาติ จึงทำให้พระองค์เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า “โลกนี้มีแต่ความทุกข์ ไม่ ว่าจะเป็นทุกข์ที่เกิดจากตนเองและที่เกิดมาจากคนอื่น” เมื่อมีความคิดอย่างนี้เกิดขึ้น จึงมีความคิดที่จะ บทที่ 2 ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า DOU 45
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More