ข้อความต้นฉบับในหน้า
4.1 กำเนิดพระโพธิสัตว์
สรรพสัตว์ทั้งหลาย ต่างต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร บางชาติก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ บางชาติ
ก็ได้เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม บางชาติพลาดพลั้งทำบาป ทำอกุศลกรรมเข้าก็ไปเกิดในทุคติภูมิ เป็นสัตว์
เดรัจฉานบ้าง เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกายบ้าง วนเวียนอยู่อย่างนี้หลายภพหลายชาติ พระสัมมาสัมพุทธ
เจ้าได้แต่อุปมาให้ฟังว่าในระหว่างที่เวียนว่ายตายเกิด ต้องประสบแต่ความทุกข์ ทั้งทุกข์เพราะพลัดพราก
จากของรัก ประสบสิ่งที่ไม่ชอบใจ และยังทุกข์เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกด้วย น้ำตาที่ต้องไหล เพราะ
ความทุกข์ของแต่ละคน หากนำมารวมกันแล้วยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4 อีก และกระดูกของแต่ละ
คนเฉพาะในชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ หากนำมากองรวมกันยังสูงกว่าขุนเขาเสียอีก
สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องประสบกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส เพราะการเวียนเกิดเวียนตายอย่าง
ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ และแต่ละภพชาติที่ผ่านไปก็ได้สั่งสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับโลกและชีวิตไว้ชาติแล้ว
ชาติเล่า ในบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น ย่อมมีสัตว์โลกผู้สั่งสมปัญญามามาก เมื่อประสบเหตุการณ์สะดุดใจ
จึงพลันได้คิดว่า “ที่แท้โลกก็คือคุกใบใหญ่ ตัวเราและสรรพสัตว์ต่างก็ถูกจับขัง ให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่
ในโลกนี้ไม่รู้จักจบสิ้น เราจะต้องหาทางพาตัวเองออกไปจากคุกนี้ให้ได้” และยังมีความกรุณาต่อสรรพสัตว์
ทั้งหลายอีกด้วย จึงได้ตั้งความปรารถนาว่า “หากวันใดเราแหกคุกนี้ไปได้ เราจะไม่ไปคนเดียว แต่จะขน
คนไปให้หมดทั้งโลก” จากนั้นก็เร่งทำความเพียรสร้างสมความดีเรื่อยไป จึงได้เนมิตกนาม คือ นามตามคุณ
ธรรมว่า พระโพธิสัตว์ ซึ่งแปลว่า สัตว์ผู้มุ่งการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์
และจะพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสารตามไปด้วย พระโพธิสัตว์จึงเป็นบุคคลผู้มีจิตใจ
ยิ่งใหญ่มหาศาลเกินกว่าที่จะเปรียบได้ เพราะว่าในขณะนั้นพระองค์ก็ยังไม่รู้หนทางที่จะออกจากทุกข์ว่า
เป็นเช่นไร รู้เพียงแต่ว่า วันใดวันหนึ่งจะต้องออกจากคุกไปให้ได้ จึงได้บำเพ็ญบารมีด้วยน้ำใจที่เด็ดเดี่ยว มั่นคง
ไม่ว่าจะถือกำเนิดเป็นอะไรก็ตาม ย่อมสร้างบารมีอย่างเต็มที่ ไม่ย่อหย่อนไม่เบื่อหน่าย ไม่ท้อแท้ถอดถอนใจ
88 DOU ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า