ข้อความต้นฉบับในหน้า
สารมัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐกว่าและมีแก่นสารมากกว่ากัปที่ผ่านมา เป็นมหากัป
ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น 4 พระองค์
ภัทรกัป หมายถึง มหากัปที่เจริญที่สุดและเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เป็นมหากัปที่มีพระสัมมาสัม
พุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น 5 พระองค์ ซึ่งถือว่ามีจำนวนมากที่สุด และจะไม่มีมากกว่าในภัทรกัปนี้
อีกแล้ว จึงทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายในกัปนี้มีโอกาสจะกระทำอาสวะให้สิ้นไปได้มากกว่ากัปอื่น
ปัจจุบันนี้เรากำลังอยู่ในยุคของพระสมณโคดมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระองค์ที่ 4 ในภัทรกัปนี้ อยู่ใน
อันตรกัปที่ 12 ของวิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป ในยุคหน้าเป็นสมัยของพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ที่จะเสด็จ
อุบัติขึ้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้ ซึ่งอยู่ในอันตรกัปที่ 13
ดังนั้น การเสด็จอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้เสด็จอุบัติขึ้นในคราวเดียวกันหลายพระองค์
ขึ้นอยู่กับว่า การสร้างบารมีของแต่ละพระองค์ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จะเต็มเปี่ยม
บริบูรณ์เมื่อใด ซึ่งถ้าบารมียังไม่เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ก็จะต้องสร้างบารมีกันต่อไป จนกว่าจะเต็มเปี่ยมและ
พร้อมที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
2.6 ประเภทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้จะ
บำเพ็ญบารมีมาเพื่อมาตรัสรู้ หลุดพ้น
จากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้พระสัทธรรม แล้ว
นำมาสั่งสอนสรรพสัตว์เพื่อความพ้นทุกข์
เหมือนกันทุกพระองค์ แต่พระสัมมา
สัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จะมีระยะเวลา
ในการสร้างบารมี ระยะเวลาในการ
ช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากทุกข์
ไม่เท่ากัน ซึ่งความแตกต่างกันของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ขึ้นอยู่
กับบารมีที่ได้สั่งสมมา จึงแบ่งพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า ได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. พระปัญญาธิกพุทธเจ้า คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสร้างบารมีชนิดปัญญาแก่กล้า ทรงมี
พระปัญญามาก แต่มีพระศรัทธาน้อย โดยมีระยะเวลาในการสร้างบารมี 20 อสงไขย กับอีกแสนมหากัป ซึ่ง
มีระยะเวลาในการสร้างบารมีแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 ทรงดำริในพระทัย โดยไม่ได้เอ่ยปากบอกใคร ใช้เวลา 7 อสงไขย
ระยะที่ 2 เปล่งวาจา คือการออกปากบอกบุคคลอื่น พร้อมๆ กับสร้างบารมีไปด้วย ใช้เวลา 9 อสงไขย
ระยะที่ 3 เมื่อได้รับพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งแรกว่าจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ใช้เวลาอีก 4 อสงไขย กับอีกแสนมหากัป
42 DOU ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า