ข้อความต้นฉบับในหน้า
จุนทกัมมารบุตร เมื่อนายจุนทะได้ทราบข่าวจึงเข้าไปเฝ้า กราบทูลนิมนต์พระพุทธองค์กับภิกษุสงฆ์ไปรับ
บิณฑบาตที่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้น
ในเวลาเช้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จไปยังบ้านของนายจุนทะ นายจุนทะ
ได้นำสุกรมัททวะ มาถวาย พระพุทธองค์ก็ตรัสสั่งให้เอาสุกรมัททวะมาถวายเฉพาะพระองค์ ส่วนที่เหลือให้
เอาไปฝังทิ้งเสีย เพราะนอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถบริโภคแล้วย่อยได้ แล้วทรงรับสั่งให้
อังคาสภิกษุสงฆ์ด้วยอาหารอย่างอื่น
หลังจากพระพุทธองค์เสวยภัตตาหารของนายจุนทกัมมารบุตรแล้ว เกิดอาพาธอย่างแรงกล้าด้วย
โลหิตปักขันทิกาพาธ” มีเวทนาหนักใกล้ปรินิพพาน แต่ทรงมีสติสัมปชัญญะ อดกลั้นทุกขเวทนาเหล่านั้นไว้
รับสั่งพระอานนท์ว่า “อานนท์ เราจักไปกรุงกุสินารา”
ระหว่างทางเสด็จทรงแวะพักที่โคนไม้ข้างทาง และรับสั่งให้พระอานนท์ไปหาน้ำมา พระอานนท์
กราบทูลว่า น้ำยังอุ่นอยู่ เพราะเกวียน 500 เล่มเพิ่งข้ามผ่านไป แล้วทูลเชิญพระองค์เสด็จไปที่แม่น้ำ
กกุธานที ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนี้ แต่พระพุทธองค์ก็ยังตรัสเช่นเดิมอีก ในครั้งที่ 3 พระอานนท์จึงทำตาม ปรากฏ
ว่าน้ำกลับใสสะอาด จึงตักน้ำไปถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกับกราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสวยน้ำนั้นแล้ว ครั้งนั้น ปุกกุสมัลลบุตร สาวกของอาฬารดาบส
กาลามโคตร เดินทางจากเมืองกุสินาราจะไปเมืองปาวา เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่ง ณ โคนต้นไม้
จึงเข้าไปเฝ้าถวายบังคม และเมื่อได้ฟังสันติวิหารธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว เกิดความเลื่อมใส ขอถึงพระ
รัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และได้น้อมนำผ้าเนื้อเกลี้ยง มีสีดังทองสิ่งที่เรียกว่า ผ้าสิงคิวรรณ จำนวน 2 ผืน เข้าไป
ถวาย พระพุทธองค์ทรงรับเพียงผืนเดียว อีกผืนหนึ่งตรัสสั่งให้ถวายพระอานนท์
เมื่อปุกกุสมัลลบุตรหลีกไปแล้วพระอานนท์ได้น้อมผ้าสิงคิวรรณเข้าไปสู่พระวรกายของพระพุทธองค์
ผ้านั้นปรากฏดังถ่านไฟที่ปราศจากเปลว ผิวกายของพระองค์เปล่งประกายงามบริสุทธิ์ผุดผ่อง เมื่อ
พระอานนท์เห็นเช่นนั้นจึงทูลสรรเสริญ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสว่า “อานนท์ ในกาลทั้ง 2 กายของตถาคต
ย่อมบริสทุธิ์ฉวีวรรณผุดผ่องยิ่ง คือ ในเวลาราตรีที่ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และในเวลา
ราตรีที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน”
“อานนท์ ในปัจฉิมยามแห่งราตรีนี้ ตถาคตจักปรินิพพาน ในระหว่างไม้สาละทั้งคู่ ในสาลวันแห่ง
มัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา มาเถิด อานนท์ เราจักไปยังแม่น้ำกกุธานที”
เมื่อเสด็จไปถึงแม่น้ำกกุธานที ทรงสรง ทรงดื่มแล้ว เสด็จไปยังอัมพวันตรัสสั่งให้พระจุนทกะปูลาด
ผ้าสังฆาฏิในบริเวณนั้นแล้ว ทรงพระบรรทมอุฏฐานสัญญามนสิการ โดยมีพระจุนทกะนั่งเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์
1
สุกรมัททวะ (อ่านว่า สุกะระมัดทะวะ) บางแห่งเรียกว่า สูกรมัทวะ (อ่านว่า สูกะระมัดทะวะ) คืออาหารประเภทใดนั้น
ยังไม่มีข้อยุติ เพราะยังมีข้อแย้งกันอยู่ แต่พอจับประเด็นความตามที่พระอรรถกถาจารย์ให้ความเห็นไว้ สรุปได้ 5 อย่าง คือ
1. เนื้อสุกรวัยแรกรุ่น ไม่อ่อนนัก ไม่แก่นัก เนื้อสุกรเช่นนี้อ่อนนุ่มและสนิทแน่น ทำให้สุกแล้ว 2. ข้าวสุกหุงอ่อนๆ ปรุงกับน้ำนมโค
หรือเบญจโครสและถั่ว 3. อาหารที่ปรุงตามหลักรสายนศาสตร์ของพราหมณ์ ทำเฉพาะในเทศกาลสำคัญ ไม่มีเนื้อสัตว์ปนในอาหาร
4. หน่อไม้ไผ่ที่สุกรแทะดุน 5. เห็ดที่เกิดในที่สุกรแทะดุน
2 โลหิตปักขันทิกาพาธ คือ อาการที่พระพุทธองค์ทรงประชวรลงพระโลหิต คือ ทรงอาเจียนออกมาเป็นเลือด และถ่าย
พระอุทรพระโลหิตก็ปนออกมาด้วย
3
อุฏฐานสัญญามนสิการ คือ การนอนพักชั่วครู่แล้วจะเสด็จเดินทางต่อไป
บทที่ 7 พุทธประวัติ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันช่วงปัจฉิมกาล DOU 161