สัมมาวาจาและมรรคมีองค์ 8 GL 204 ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หน้า 203
หน้าที่ 203 / 209

สรุปเนื้อหา

สัมมาวาจา สามารถละมิจฉาวาจา 4 ประการ ได้แก่ มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา และสัมผัปปลาปวาจา สัมมากัมมันตะสามารถละมิจฉากัมมันตะ 3 ประการ โดยมุ่งไปที่การละความตาย อาทิ ปาณาติบาต และให้เกิดผลดีในชีวิต เมื่อใช้งานสัมมาวายามะที่ช่วยปิดกั้นอกุศลและส่งเสริมให้เกิดกุศลที่เป็นประโยชน์ เช่น โสดาปัตติมรรคจิต สัมมาสติที่วิเคราะห์อารมณ์จากรูปขันธ์ผ่านไตรลักษณ์ แสดงให้เห็นทุกข์ อนิจจังและอนัตตา การพัฒนาทั้ง 8 ทางนี้ช่วยให้บรรลุพระนิพพานได้ ด้วยการทำความดีและการปฏิบัติตามทางที่ถูกต้อง

หัวข้อประเด็น

-สัมมาวาจา
-มรรคมีองค์ 8
-ความหมายของไตรลักษณ์
-สัมมากัมมันตะ
-สัมมาสติ
-การปฏิบัติธรรม
-การเข้าถึงนิพพาน

ข้อความต้นฉบับในหน้า

สัมมาวาจานั้น ก็สามารถละเสียได้เด็ดขาด ซึ่งมิจฉาวาจา 4 ประการ อันได้แก่ มุสาวาท ปิสุณา วาจา ผรุสวาจา และสัมผัปปลาปวาจา สัมมากัมมันตะนั้น ก็สามารถละเสียได้เด็ดขาด ซึ่งมิจฉากัมมันตะ 3 ประการ คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน และกาเมสุมิจฉาจาร สัมมาวายามะ คือ วิริยะนั้น ก็สามารถละมิจฉาวายามะได้เด็ดขาด อันได้แก่อกุศล อันบังเกิดแล้ว ให้ขาดไปจากสันดาน ขณะเดียวกันก็ปิดกั้นอกุศลที่ยังไม่บังเกิด มิให้บังเกิดขึ้นได้ ยังกุศลอันมิเคยบังเกิดมา ก่อน คือ โสดาปัตติมรรคจิตให้บังเกิดขึ้น และยังกุศลอันบังเกิดแล้วให้พัฒนายิ่งๆ ขึ้นไป สัมมาสติ อันเป็นไปในอารมณ์ทั้ง 4 ก็พิจารณารูปขันธ์ว่า ตกอยู่ใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาเห็นว่า เวทนาขันธ์นั้นเองที่เป็นทุกข์ พิจารณาเห็นว่า วิญญาณขันธ์ คือ จิตนั้นเป็น อนิจจังไม่เที่ยงแท้ ดับเกิดอยู่ตลอดเวลา พิจารณาเห็นสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์ว่าเป็นอนัตตา คือ ควบคุมไม่ได้ มรรคทั้ง 8 นี้ บังเกิดพร้อมกันในโสดาปัตติมรรคจิตและกระทำกิจต่างๆ กันดังนี้ คือ สัมมา สังกัปปะ เป็นปัจจัยแก่สัมมาทิฏฐิ มีอุปมาดุจมืออันเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ คือ เมื่อบุคคลจะมองดูสิ่งต่างๆ เช่น เงินและทอง ก็ใช้มือหยิบเงินและทองนั้นพลิกกลับไปกลับมา จักขุคือดวงตานั้นมองดูแล้วก็รู้ว่าเงินและทอง นั้นดีหรือไม่ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด การที่สัมมาสังกัปปะเป็นปัจจัยแก่สัมมาทิฏฐิ ก็มีอุปมาฉันนั้น คือ สัมมาสังกัปปะยังให้เกิดดำริอารมณ์อยู่เนืองๆ สัมมาทิฏฐิจึงทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์นั้นว่าธรรมหมู่นี้ เป็นกามาวจร ธรรมหมู่นี้เป็นรูปาวจร ธรรมหมู่นี้เป็นอรูปาวจร แล้วก็นำไปพิจารณาต่อในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สัมมาสังกัปปะ เป็นเสมือนพนักงานนำเสนอ ดำริอารมณ์ให้กับสัมมาทิฏฐิในทำนองเดียวกับมือ ซึ่งจับเงิน และทองพลิกกลับไปกลับมาให้จักขุมองฉะนั้น สัมมาวาจาและสัมมากัมมันตะ ก็เป็นเหตุปัจจัยให้แก่สัมมาอาชีวะ ด้วยเหตุว่าเมื่อกายกรรม วจีกรรม สุจริตแล้ว การเลี้ยงชีพย่อมสุจริตตามไปด้วย ส่วนสัมมาวายามะและสัมมาสติ ก็เป็นเหตุปัจจัยให้แก่สัมมาสมาธิ อุปมาเสมือนบุรุษ 3 คนเป็น สหายกัน ชวนกันเข้าไปในอุทยาน ครั้นบุรุษคนที่หนึ่งเห็นดอกจำปาก็ปรารถนาจะได้ดอกไม้นั้น แต่ต้นจำปา นั้นอยู่สูงสุดเอื้อม สหายคนที่หนึ่งจึงก้มหลังให้เหยียบ สหายอีกคนหนึ่งก็น้อมกายลงให้จับ บุรุษนั้นก็เหยียบ หลังสหายคนหนึ่ง และจับบ่าสหายอีกคนหนึ่ง จึงสามารถเก็บดอกจำปามาได้ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด สัมมาวายามะ ก็เปรียบเสมือนบุรุษผู้ก้มหลังให้เหยียบ สัมมาสติเปรียบเสมือนบุรุษผู้น้อมบ่าลงให้จับ สัมมาสมาธิ นั้นเปรียบประดุจบุรุษผู้เหยียบหลังสหายแล้วเก็บดอกจำปาได้ การที่สัมมาวายามะกับสัมมาสติเป็นปัจจัย ให้แก่ สัมมาสมาธิ ซึ่งมุ่งเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ ย่อมอุปมาดุจบุรุษทั้ง 3 คนที่เป็นสหายกัน สรุป มรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมอันอุดมล้ำเลิศประเสริฐยิ่งของพระอริยเจ้า เปรียบประดุจบรมจักรพรรดิ ผู้ทรงไว้ซึ่งพระเดชานุภาพอันสูงส่ง เหล่าอริราชทั้งมวล ย่อมสยดแสยง ไม่อาจต้านทานต่อราชฤทธิ์ของ พระองค์ได้ มรรคมีองค์ 8 เป็นที่รวมแห่งโพธิปักขิยธรรมทั้งปวง แม่น้ำน้อยใหญ่บรรดามีในโลกนี้ ย่อม * หมายถึง ผู้หยั่งลงสู่ความเพียร ผู้ประกอบความเพียร ผู้เจริญภาวนา 192 DOU ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More