เหตุการณ์ปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า GL 204 ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หน้า 180
หน้าที่ 180 / 209

สรุปเนื้อหา

เมื่อพระมหากัสสปะและภิกษุเดินทางมาถึงเมืองกุสินารา พบว่าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ทำให้เกิดความเศร้าโศกเป็นอย่างมาก คำพูดของพระสุภัททะทำให้เกิดความคิดใหม่เกี่ยวกับชีวิตและการสอน หลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์เกี่ยวกับพระยุคลบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและมีการจัดงานฉลองสักการบูชาเป็นเวลา 7 วัน โดยต่อจากนั้นมีเหตุการณ์เกี่ยวกับการแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นระหว่างกษัตริย์ต่างๆ และโทณพราหมณ์ออกมากล่าวเตือนเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้.

หัวข้อประเด็น

-การปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
-พระมหากัสสปะ
-ดอกมณฑารพ
-งานสักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
-การแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ

ข้อความต้นฉบับในหน้า

ทางด้านพระมหากัสสปะพร้อมกับภิกษุประมาณ 500 รูป กำลังเดินทางออกมาจากเมืองปาวา เพราะ ได้ทราบข่าวว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับที่เมืองกุสินาราระหว่างทางได้หยุดพักที่ใต้ร่มไม้ริมทาง ได้เห็นอาชีวกคนหนึ่งเดินถือดอกมณฑารพมาจากเมืองกุสินารา โดยเอามาป้องศีรษะเป็นร่มกั้นแสงแดด เมื่อ พระมหากัสสปะเห็นเช่นนั้นแล้ว จึงคิดว่าดอกมณฑารพเป็นดอกไม้ทิพย์ ไม่ได้มีอยู่บนโลกมนุษย์ แต่หากจะมี ก็เฉพาะในวันและเวลาที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ออกบรรพชา ตรัสรู้ เป็นต้น จึงจะบันดาลให้ดอกมณฑารพ ตกลงมาสู่มนุษยโลก จึงเข้าไปถามก็ทราบความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ภิกษุพวกที่เป็นปุถุชนก็เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก ส่วนภิกษุผู้เป็นอรหันต ขีณาสพก็เกิดธรรมสังเวช แต่มีพระสุภัททะ ภิกษุผู้บวชตอนแก่ได้กล่าวห้ามไม่ให้ภิกษุเหล่านั้นร้องไห้ แต่ให้ ดีใจกลับการเสด็จปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะจะได้ไม่ต้องมีใครคอยมาสอนอีกต่อไป และจะ ทำอะไรก็ได้ตามความชอบใจ พระมหากัสสปะได้ฟังเช่นนั้น รู้สึกหดหู่ใจและจะลงโทษแก่พระสุภัททะ แต่เห็น ว่ายังไม่ใช่เวลานี้ จึงปลอบประโลมเหล่าภิกษุ ออกเดินทางต่อไปจนถึงเมืองกุสินารา เมื่อพระมหากัสสปะเดินทางมาถึงเมืองกุสินารา เข้าไปสู่พันธนเจดีย์ แล้วกระทำประทักษิณ คือ เดินเวียนขวารอบจิตกาธาน 3 รอบ แล้วยืนอยู่เบื้องพระยุคลบาท ตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระยุคลบาทของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำแรกออกมาจากหีบพระบรมศพ ทันใดนั้นพระยุคลบาททั้งคู่ ก็โผล่ออกมาภายนอก พระมหากัสสปะเหยียดมือทั้งสองจับพระยุคลบาท ยกขึ้นวางไว้บนศีรษะของตน และเมื่อถวายบังคมแล้ว พระ ยุคลบาททั้งสองก็ถอยกลับคืนสู่หีบทองดังเดิม โดยที่ผ้าคลุมหีบทองและเชิงตะกอน ไม่ได้มีการเคลื่อนไหว จากที่แต่ประการใด เป็นเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ในขณะนั้น ได้เกิดเสียงร้องไห้ปริเวทนาของเหล่าเทวาและมนุษย์ทั้งหลายมากมายยิ่งกว่าวัน ดับขันธปรินิพพาน แล้วเกิดพระเพลิงลุกขึ้นไหม้พระบรมศพเอง เมื่อไฟมอดดับลง พระอัฐิ พระเกศา พระโลมา พระนขา และพระทันตา กับผ้าหุ้มห่อพระสรีระกายชั้นในและผ้าคลุมที่อยู่ภายนอกสุดอีกผืนหนึ่ง ไม่ได้ถูกไฟ เผาไหม้ไปด้วย นอกนั้นถูกไฟเผาไหม้จนหมดสิ้น ไม่ได้มีปรากฏหลงเหลืออยู่เลย จากนั้นมีท่อน้ำไหลออกมา เองจากท้องฟ้า มีน้ำพุขึ้นจากต้นสาละดับจิตกาธาน รวมทั้งเหล่ามัลลกษัตริย์ก็นำน้ำหอมทั้งหลายช่วยกันดับ แล้วจึงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานที่สัณฐาคารศาลาภายในเมืองกุสินารา มีเครื่องป้องกัน รอบอาคาร มีทหารถือธนูคอยพิทักษ์ มีงานฉลองสักการบูชาต่ออีก 7 วัน 7.5.2 แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อข่าวการปรินิพพานและถวายพระเพลิงพระสรีระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแพร่ออกไปตาม เมืองและแว่นแคว้นต่างๆ ทำให้บุคคลที่มีความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธองค์ เช่น พระเจ้าอชาตศัตรู กษัตริย์ ลิจฉวี เป็นต้น รวม 7 แห่ง ต่างส่งทูตเชิญราชสาสน์มาขอส่วนแบ่งพระสารีริกธาตุ เพื่อนำไปสร้างสถูป ทำการสักการบูชา แต่ละเมืองได้ส่งคณะทหารร่วมมากับราชทูต พากันตั้งล้อมเมืองกุสินาราไว้อย่างแน่นหนา แต่พวกมัลลกษัตริย์เกิดความหวงแหนพระบรมสารีริกธาตุ เพราะเห็นว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา ปรินิพพานในแคว้นของตน จึงจะไม่ยอมแบ่งพระสารีริกธาตุให้ใคร ทำให้เหล่ากษัตริย์เกิดความไม่พอใจ คิด ที่จะทำสงครามกัน เพื่อแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ ขณะนั้น โทณพราหมณ์ เป็นชาวเมืองกุสินารา และเป็นอาจารย์ผู้มีลูกศิษย์ทั่วชมพูทวีป แม้แต่ บทที่ 7 พุทธประวัติ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันช่วงปัจฉิมกาล DOU 169
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More