ข้อความต้นฉบับในหน้า
และภัลลิกะ เนื่องจากทั้งสองพี่น้องเป็นพ่อค้า ได้มาถวายข้าวสัตตุก้อนสัตตุผงแก่พระพุทธเจ้า และได้
ปวารณาตนเองเป็นอุบาสกขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นสรณะ (สมัยนั้นยังไม่มีพระสงฆ์)
6.2 ปฐมเทศนา
ครั้นเมื่อผ่านไป 7 วัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากสมาธินั้นแล้ว เสด็จจากควงไม้ราชายตนะ
เข้าไปยังต้นอชปาลนิโครธนั้นอีก ทรงปริวิตกว่า “ธรรมที่พระองค์บรรลุนั้นสุขุมลุ่มลึกเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก
เพราะเป็นธรรมที่สงบ ประณีต ละเอียด เป็นวิสัยของบัณฑิตเท่านั้นที่จะพึงรู้แจ้ง ก็ถ้าเราจะแสดงธรรม สัตว์
เหล่าอื่นก็จะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา ข้อนั้นจะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา จะพึงเป็นความ
ลำบากเปล่าแก่เรา” พระองค์จึงทรงมีพระทัยน้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อการแสดงธรรม
ทำให้ท้าวสหัมบดีพรหมซึ่งความปริวิตกนี้ จึงต้องลงมาทูลอาราธนาให้พระองค์แสดงธรรมโปรดสรรพสัตว์
พระองค์จึงรับอาราธนาและอาศัยพระกรุณาในหมู่สัตว์ จึงตรวจดูสัตวโลกด้วยพระญาณของพระองค์แล้ว ทรง
พบว่าเหล่ามนุษย์ทั้งหลายย่อมมีอุปนิสัยต่างๆ กัน เป็น 4 ประเภท ซึ่งเปรียบเหมือนดอกบัว 4 เหล่า คือ
1. อุคฆฏิตัญญู ได้แก่ ผู้ที่มีปัญญาเฉียบแหลม เพียงแค่ยกหัวข้อธรรมขึ้นแสดง ก็สามารถรู้และ
เข้าใจได้ในทันที เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่เหนือน้ำรอคอยแสงอาทิตย์ พอพระอาทิตย์ฉายแสง
ก็เบ่งบานได้ทันที
2. วิปจิตัญญู ได้แก่ ผู้ที่มีปัญญาอยู่ในระดับปานกลาง ต่อเมื่อท่านอธิบายขยายความหัวข้อธรรม
นั้นแล้ว จึงจะสามารถรู้และเข้าใจได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่เสมอผิวน้ำจะบานในวันพรุ่งนี้
3. เนยยะ ได้แก่ ผู้ที่พอจะแนะนำได้ คือ พอจะฝึกสอนอบรมให้รู้และเข้าใจได้อยู่ เปรียบเหมือน
ดอกบัวที่ยังโผล่ไม่พ้นน้ำ ซึ่งจักบานในวันต่อๆ ไป
4. ปทปรมะ ได้แก่ ผู้ด้อยปัญญา สอนให้รู้ได้แต่เพียงบทคือพยัญชนะหรือถ้อยคำ แต่ไม่อาจเข้าใจ
อรรถคือความหมายได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังจมอยู่ในน้ำโคลมตม ซึ่งย่อมเป็นอาหารของ
ปลาและเต่า
ครั้นเมื่อพระองค์ทรงอธิษฐานจิตเพื่อที่จะแสดงพระธรรมเทศนาเช่นนั้นแล้วจึงทรงดำริหาผู้ที่สมควร
จะได้รับพระธรรมเทศนาครั้งแรก ซึ่งพระองค์ได้ทรงปรารภถึงอาฬารดาบสกาลามโคตร ผู้เป็นบัณฑิตที่จะรู้
ทั่วถึงธรรมนี้ได้เร็วพลัน เมื่อตรวจดูอีก ทรงทราบว่าอาฬารดาบสนั้นได้เสียชีวิตได้ 7 วันแล้ว จึงทรงระลึก
1 ในประเด็นเรื่องที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย มีความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อการแสดงธรรมนั้น ใน
หนังสือคุณา- นันทเถระ(มูลนิธิธรรมกาย, คุณานันทเถระ ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา, กรุงเทพฯ : หจก. เอส.พี.เค. เปเปอร์
แอนด์ ฟอร์ม, 2548. หน้า 114) ได้แสดงประเด็นนี้ไว้ว่า “ความจริงแล้วความท้อพระทัยไม่มีในพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์มีกำลัง
ใจเต็มเปี่ยมในการโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพียงแต่เวลานั้นพระองค์กำลังอยู่ในดำริ เมื่อตรวจตราดูธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ก็พบว่า
เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ยากที่จะสอนใครให้เข้าใจได้ เพราะสัตวโลกมีความอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น คุ้นกับความอยาก ไม่มีการ
หยุดพูดเรื่องการหยุดให้กับคนที่มีความอยาก จึงยากที่จะเข้าใจได้ ซึ่งทั้งหมดนี้พระองค์กำลังอยู่ในขั้นรำพึงเท่านั้นไม่ได้ทรงท้อพระทัย
ที่จะแสดงธรรมจนพรหมต้องมากราบอาราธนา แต่ที่พรหมลงมาอาราธนานั้น เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พรหมจะต้องมาอาราธนา
พรหมก็ปฏิบัติตามธรรมเนียม และไม่ว่าพระพุทธเจ้าที่พระองค์ลงมาตรัสรู้ก็ตาม พระองค์ก็จะดำริอย่างนี้ แล้วพรหมก็มาตาม
ธรรมเนียมอย่างนี้ อุปมาเหมือนกับพิธีถวายสังฆทาน ที่ต้องมีพิธีกรมาทำหน้าที่ดำเนินพิธีกรรม แล้วเจ้าภาพจึงค่อยกล่าวคำถวาย
สังฆทานแด่คณะสงฆ์ หากไม่มีพิธีกรก็คงถวายสังฆทานได้ แต่นี้เป็นธรรมเนียมที่พิธีกรจะต้องมาทำหน้าที่ พรหมก็เปรียบเหมือน
พิธีกรนั่นเอง”
บทที่ 6 พุทธประวัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันช่วงมัชฌิมกาล DOU 141