ปฐมเทศนาและเกณฑ์การเข้าใจธรรมของพระพุทธเจ้า GL 204 ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หน้า 152
หน้าที่ 152 / 209

สรุปเนื้อหา

บทความนี้กล่าวถึงการแสดงธรรมครั้งแรกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีพระประสงค์ที่จะเข้าถึงสัตว์ทั้งหลาย โดยแบ่งอุปนิสัยของมนุษย์ออกเป็น 4 ประเภท เปรียบเทียบกับดอกบัวที่จะบานตามขั้นตอนและสภาพของตัวเอง พระองค์ได้ตรัสรู้ธรรมที่ลึกซึ้งและยากแก่การสอน จึงมีพระทัยที่ขวนขวายน้อยในการแสดงธรรม จนกระทั่งท้าวสหัมบดีพรหมอาราธนาให้พระองค์แสดงธรรมเพื่อโปรดสรรพสัตว์ที่มีความแตกต่างกันในอุปนิสัย.

หัวข้อประเด็น

-การแสดงธรรมครั้งแรก
-การเข้าใจธรรม
-อุปนิสัยมนุษย์
-การเรียนรู้จากพระธรรม

ข้อความต้นฉบับในหน้า

และภัลลิกะ เนื่องจากทั้งสองพี่น้องเป็นพ่อค้า ได้มาถวายข้าวสัตตุก้อนสัตตุผงแก่พระพุทธเจ้า และได้ ปวารณาตนเองเป็นอุบาสกขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นสรณะ (สมัยนั้นยังไม่มีพระสงฆ์) 6.2 ปฐมเทศนา ครั้นเมื่อผ่านไป 7 วัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากสมาธินั้นแล้ว เสด็จจากควงไม้ราชายตนะ เข้าไปยังต้นอชปาลนิโครธนั้นอีก ทรงปริวิตกว่า “ธรรมที่พระองค์บรรลุนั้นสุขุมลุ่มลึกเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก เพราะเป็นธรรมที่สงบ ประณีต ละเอียด เป็นวิสัยของบัณฑิตเท่านั้นที่จะพึงรู้แจ้ง ก็ถ้าเราจะแสดงธรรม สัตว์ เหล่าอื่นก็จะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา ข้อนั้นจะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา จะพึงเป็นความ ลำบากเปล่าแก่เรา” พระองค์จึงทรงมีพระทัยน้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อการแสดงธรรม ทำให้ท้าวสหัมบดีพรหมซึ่งความปริวิตกนี้ จึงต้องลงมาทูลอาราธนาให้พระองค์แสดงธรรมโปรดสรรพสัตว์ พระองค์จึงรับอาราธนาและอาศัยพระกรุณาในหมู่สัตว์ จึงตรวจดูสัตวโลกด้วยพระญาณของพระองค์แล้ว ทรง พบว่าเหล่ามนุษย์ทั้งหลายย่อมมีอุปนิสัยต่างๆ กัน เป็น 4 ประเภท ซึ่งเปรียบเหมือนดอกบัว 4 เหล่า คือ 1. อุคฆฏิตัญญู ได้แก่ ผู้ที่มีปัญญาเฉียบแหลม เพียงแค่ยกหัวข้อธรรมขึ้นแสดง ก็สามารถรู้และ เข้าใจได้ในทันที เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่เหนือน้ำรอคอยแสงอาทิตย์ พอพระอาทิตย์ฉายแสง ก็เบ่งบานได้ทันที 2. วิปจิตัญญู ได้แก่ ผู้ที่มีปัญญาอยู่ในระดับปานกลาง ต่อเมื่อท่านอธิบายขยายความหัวข้อธรรม นั้นแล้ว จึงจะสามารถรู้และเข้าใจได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่เสมอผิวน้ำจะบานในวันพรุ่งนี้ 3. เนยยะ ได้แก่ ผู้ที่พอจะแนะนำได้ คือ พอจะฝึกสอนอบรมให้รู้และเข้าใจได้อยู่ เปรียบเหมือน ดอกบัวที่ยังโผล่ไม่พ้นน้ำ ซึ่งจักบานในวันต่อๆ ไป 4. ปทปรมะ ได้แก่ ผู้ด้อยปัญญา สอนให้รู้ได้แต่เพียงบทคือพยัญชนะหรือถ้อยคำ แต่ไม่อาจเข้าใจ อรรถคือความหมายได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังจมอยู่ในน้ำโคลมตม ซึ่งย่อมเป็นอาหารของ ปลาและเต่า ครั้นเมื่อพระองค์ทรงอธิษฐานจิตเพื่อที่จะแสดงพระธรรมเทศนาเช่นนั้นแล้วจึงทรงดำริหาผู้ที่สมควร จะได้รับพระธรรมเทศนาครั้งแรก ซึ่งพระองค์ได้ทรงปรารภถึงอาฬารดาบสกาลามโคตร ผู้เป็นบัณฑิตที่จะรู้ ทั่วถึงธรรมนี้ได้เร็วพลัน เมื่อตรวจดูอีก ทรงทราบว่าอาฬารดาบสนั้นได้เสียชีวิตได้ 7 วันแล้ว จึงทรงระลึก 1 ในประเด็นเรื่องที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย มีความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อการแสดงธรรมนั้น ใน หนังสือคุณา- นันทเถระ(มูลนิธิธรรมกาย, คุณานันทเถระ ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา, กรุงเทพฯ : หจก. เอส.พี.เค. เปเปอร์ แอนด์ ฟอร์ม, 2548. หน้า 114) ได้แสดงประเด็นนี้ไว้ว่า “ความจริงแล้วความท้อพระทัยไม่มีในพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์มีกำลัง ใจเต็มเปี่ยมในการโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพียงแต่เวลานั้นพระองค์กำลังอยู่ในดำริ เมื่อตรวจตราดูธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ก็พบว่า เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ยากที่จะสอนใครให้เข้าใจได้ เพราะสัตวโลกมีความอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น คุ้นกับความอยาก ไม่มีการ หยุดพูดเรื่องการหยุดให้กับคนที่มีความอยาก จึงยากที่จะเข้าใจได้ ซึ่งทั้งหมดนี้พระองค์กำลังอยู่ในขั้นรำพึงเท่านั้นไม่ได้ทรงท้อพระทัย ที่จะแสดงธรรมจนพรหมต้องมากราบอาราธนา แต่ที่พรหมลงมาอาราธนานั้น เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พรหมจะต้องมาอาราธนา พรหมก็ปฏิบัติตามธรรมเนียม และไม่ว่าพระพุทธเจ้าที่พระองค์ลงมาตรัสรู้ก็ตาม พระองค์ก็จะดำริอย่างนี้ แล้วพรหมก็มาตาม ธรรมเนียมอย่างนี้ อุปมาเหมือนกับพิธีถวายสังฆทาน ที่ต้องมีพิธีกรมาทำหน้าที่ดำเนินพิธีกรรม แล้วเจ้าภาพจึงค่อยกล่าวคำถวาย สังฆทานแด่คณะสงฆ์ หากไม่มีพิธีกรก็คงถวายสังฆทานได้ แต่นี้เป็นธรรมเนียมที่พิธีกรจะต้องมาทำหน้าที่ พรหมก็เปรียบเหมือน พิธีกรนั่นเอง” บทที่ 6 พุทธประวัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันช่วงมัชฌิมกาล DOU 141
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More