ข้อความต้นฉบับในหน้า
พอเสด็จมาพ้นประตูพระราชวังเท่านั้น พญาสวัสวดีมาร (มารผู้มีจิตใจหยาบช้าชอบขัดขว้างคนไม่
ให้ทำความดี) ได้พูดขึ้นมาว่า “เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านอย่าเพิ่งออกบวชเลย อีก 7 วันข้างหน้า ท่านจะได้
ครองราชย์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ มีสมบัติมากมายมหาศาล มีบริวารสุดจะนับประมาณได้
ท่านจะมีความสุขกับการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิที่จะหาผู้ใดทัดเทียมมิได้เลย” เจ้าชายสิทธัตถะทรงตรัสตอบ
พญามารไปว่า “อย่ามาห้ามเราเลยพญาสวัสวดีมาร เราตัดสินใจแล้ว สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิไม่มีความ
หมายสำหรับเราเลย ถ้าชาวโลกยังต้องทุกข์ทรมานกันอยู่ไม่รู้จักจบสิ้นเช่นนี้ หลีกไปซะ เราจะ
แสวงหาหนทางที่จะออกไปจากความทุกข์ นี้ให้จงได้” สิ้นพระสุรเสียงของเจ้าชายสิทธัตถะพญามารก็ได้
หายวับไปกับตา
จวบจนใกล้รุ่ง เจ้าชายได้เดินทางมาถึงแม่น้ำอโนมา ด้วยบุญญาธิการที่พระองค์เคยสั่งสมมาใน
อดีตชาติทำให้เทวดาที่สถิตย์อยู่ในวิมานชั้นต่างๆ ต้องทิ้งวิมานเพื่อลงมาปกปักรักษา ให้เจ้าชายข้ามแม่น้ำอ
โนมาไปด้วยความปลอดภัย พอพ้นเขตพระนครกบิลพัสดุ์ ทรงลงจากหลังม้า ประทับนั่งบนหาดทรายขาวริม
แม่น้ำอโนมา ทรงตรัสกับนายฉันนะว่า “ฉันนะ เราจะบวชเป็นบรรพชิต จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่นี้แสวงหา
ทางพ้นทุกข์” สิ้นพระสุรเสียง พระองค์ทรงใช้พระขรรค์ตัดพระเกศาโยนปอยผมไปบนอากาศ และตั้งจิต
อธิษฐานว่า “ถ้าการออกบวชของเราในครั้งนี้จะทำให้เราได้ตรัสรู้ธรรม เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอ
ปอยผมนี้อย่าได้ร่วงลงสู่พื้นดินเลย แต่ถ้าไม่สามารถที่จะตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ขอ
ให้ปอยผมนี้จงร่วงลงสู่ผืนดินด้วยเถิด” ด้วยบุญญาธิการของเจ้าชายที่สั่งสมมาแล้วในอดีตชาติ เทวดา
บนสรวงสวรรค์ต้องการจะเก็บรักษาบ่อยผมของเจ้าชาย
จึงได้เอาพานแก้วมารองรับปอยผมของพระองค์
ไม่ให้ร่วงลงสู่ผืนดินเมื่อเจ้าชายเห็นว่าปอยผมของพระองค์นั้นลอยอยู่บนอากาศไม่ได้ร่วงลงสู่ผืนดิน ทรงมี
พระทัยปีติเบิกบาน มีพระกำลังใจยิ่งนัก
ขณะนั้นเองฆฏิการพรหม (เป็นพรหมชั้นสุทธาวาส) ได้นำผ้าสีย้อมน้ำฝาด พร้อมด้วยเครื่องอัฏฐบริขาร
มีบาตรเป็นต้นมาถวายเจ้าชาย นายฉันนะเมื่อเห็นเจ้าชายครองผ้าสีย้อมน้ำฝาดแทนชุดเจ้าชายที่เคยสวมใส่
ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เจ้าชายสิทธัตถะ บัดนี้ได้การมาเป็นสมณะสิทธัตถะผู้ไม่มีบ้านเรือนอีกต่อไป ชีวิตที่เคย
เพียบพร้อมไปสละทุกอย่าง บัดนี้เหลือเพียงผ้าของนักบวชที่ห่อหุ้มพระวรกาย สมณะสิทธัตถะเห็นนาย
ฉันนะนั่งร่ำไห้อยู่ จึงตรัสด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมพระเมตตาไปว่า “ฉันนะ อย่าได้ร้องไห้เลยเราไม่ได้ตาย
จากไปไหน เพียงแค่เราเปลี่ยนสถานะภาพจากเจ้าชายมาเป็นนักบวชที่จะแสวงหาความจริงของชีวิตเท่านั้น
ฉันนะจงนำอาภรณ์ชุดเจ้าชายที่เราเคยสวมใส่นี้กลับไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ด้วย และกราบทูลเสด็จพ่อ พระมาตุฉา
ด้วยว่า เมื่อใดที่เราได้สำเร็จวิชชาแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์ได้แล้ว เราจะกลับไปหาท่านทั้งสอง” นาย
ฉันนะได้จ้องมองพระพักตร์ของสมณะสิทธัตถะด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก แต่ก็ต้องถวายบังคมแทบ
พระยุคลบาท ลาจากไป ฉันนะก้มกราบพระบาทของสมณะสิทธัตถะ และจูงม้ากัณฐกะออกเดินทางจากริม
ฝั่งน้ำอโนมาย้อนกลับมาเส้นทางเดิมที่เคยมีเจ้าชายเสด็จมาด้วย แต่บัดนี้ไม่มีเจ้าชายสิทธัตถะอีกแล้ว
ม้ากัณฐกะไม่ได้ละสายตามาจากสมณะสิทธัตถะเลย ยังมองด้วยความรักและอาลัยอาวรณ์อยาก
ที่สุดจะพรรณนาออกมาได้ จวบจนกระทั่งภาพของสมณะสิทธัตถะค่อยๆ เลือนลาง และพ้นไปจากสายตา ม้า
กัณฐกะก็ล้มลงขาดใจตายด้วยความรักความผูกพันอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อสมณะสิทธัตถะ นายฉันนะจึงต้อง
เดินทางกลับนครกบิลพัสดุ์เพียงลำพัง ข่าวการหายตัวของเจ้าชายและนายฉันนะได้ดังไปทั่วกรุงกบิลพัสดุ์
จนกระทั่งนายฉันนะได้เดินทางกลับมาถึง และได้ไปกราบถวายบังคมทูลเรื่องทั้งหมดต่อพระเจ้าสุทโธทนะให้
ทรงทราบ
บทที่ 5 พุทธประวัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันช่วงปฐมกาล DOU 129