ข้อความต้นฉบับในหน้า
พระกระยาหารและทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ผู้เฝ้าคอยอุปัฏฐากมาตลอด 6 ปีที่ทรง
ทรมานพระวรกาย หวังเพียงเพื่อจะได้บรรลุธรรมตามอย่างสมณะนี้ แต่บัดนี้ สมณะนี้กลับเลิกล้มความเพียร
กลับไปมักมากในกามคุณ จึงเสื่อมศรัทธาหนีกลับไปยังป่าอิสิปปตนมฤคทายวัน
ในรุ่งเช้าของวันที่จะตรัสรู้ นางสุชาดาธิดาของคหบดีในอุรุเวลาเสนานิคม ได้นำข้าวปายาสใส่ลงใน
ถาดทองมาถวายพระโพธิสัตว์ หลังจากที่พระองค์ทรงเสวยข้าวปายาสอันประณีตของนางสุชาดาแล้ว ทรง
นำถาดทองมาลอยในแม่น้ำและทรงอธิษฐานจิตว่า “ถ้าเราจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้ขอถาดทองใบ
นี้จงลอยทวนกระแสน้ำไป” ถาดนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำไป เมื่อพระองค์เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ทรงมีความ
มั่นใจว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างแน่นอน จึงได้เสด็จไปประทับยังป่าสาลวัน จนกระทั่งเวลาเย็น
จึงได้เสด็จกลับมาที่ต้นโพธิ์ ระหว่างทางได้พบกับโสตถิยพราหมณ์ และได้รับหญ้าคาจำนวน 8 กำ จาก
โสตถิยพราหมณ์นำมาปูลาดเป็นที่ประทับนั่งใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ และทรงประทับนั่งอธิษฐานจิตว่า เนื้อและ
เลือดในสรีระจะแห้งเหือดไปหมดสิ้น จะเหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูก ก็ตามทีถ้าเรายังไม่บรรลุพระสัมมา
สัมโพธิญาณ จักไม่ทำลายบัลลังก์นี้ เทวดาในหมื่นจักรวาลต่างแซ่ซ้องสาธุการกล่าวสรรเสริญพระโพธิสัตว์
ในขณะนั้น พญามารพร้อมกองทัพมารได้มาปรากฏตัวขึ้น เพื่อคิดที่จะทำลายพระโพธิสัตว์ เหล่า
เทวดาจึงหนีหายไปอยู่ขอบจักรวาล ทำให้พระโพธิสัตว์ต้องอยู่เพียงลำพังพระองค์เดียว แต่พระองค์ก็มิได้
หวั่นไหวต่อกองทัพมารที่มาแต่อย่างใด ก็ยังคงนั่งคู่บังลังก์อยู่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ นึกถึงบารมีทั้ง 30 ทัศที่
พระองค์ได้สั่งสมมาตลอด 20 อสงไขยกับแสนมหากัปอย่างไม่หวาดกลัวต่อพญามารและกองทัพมาร
จนในที่สุดพญามารและกองทัพมารก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรพระองค์ได้ ก็ต้องถอยทัพกลับไปยังที่อยู่ของตน
จากนั้นก็ทรงทำความเพียรต่อไปโดยไม่ย่อท้อ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติ
ธรรมต่อ จนกระทั่งได้บรรลุฌานที่ 1 ฌาน
ที่ 2 ฌานที่ 3 ฌานที่ 4 จนถึงอรูปฌาน
จนครบบริบูรณ์ และทรงปฏิบัติธรรมต่อ
ไปจนถึงปฐมยาม พระองค์ทรงบรรลุ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (สามารถระลึก
ชาติตนเองได้) ในมัชฌิมยามทรงบรรลุ
จุตูปปาตญาณ(สามารถรู้การเวียนว่าย
ตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลายได้หมดสิ้น)
ในปัจฉิมยาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ
(ทรงทำอาสวกิเลสทั้งหลายให้หมดสิ้นไป
จากจิตด้วยพระปัญญาอันบริสุทธิ์) ทรง
พิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ทบไปทวนมาในที่สุดก็บรรลุ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าใน
เวลาเช้าตรู่นั้นเอง ฉะนั้น ด้วยเหตุที่พระพุทธเจ้ามีความบริสุทธิ์จากกิเลสและอาสวะ จึงได้เนมิตกนามว่า
อะระหัง และการที่พระองค์ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง จึงได้เนมิตกนามว่า สัมมาสัมพุทโธ
อวิทูเรนิทานกถา, ขุททกนิกาย อปทาน, มก. เล่ม 70 หน้า 143
บทที่ 6 พุทธประวัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันช่วงมัชฌิมกาล DOU 139