ข้อความต้นฉบับในหน้า
วีฒนธรรมไหว้ครู _ การศึกษาพระวินัยธรรม
2
พระใครปฏิบาได้ในที่ใดก็ได้ทั้งหมด และจากการที่พระใครปฏิบาได้ตามรักษ์ไว้ด้วยภาษาบำเถิบเอง ภิกษุสูงผาสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝ่ายเถรวาท ซึ่งนับค.ศษภาษาบำเถิบเพื่อเป็นความรู้พื้นฐานในการศึกษาค้นคว้าพระใครปฏิบาไป ซึ่งนี้ เพื่อรักษาพระธรรมนี้ดังเต็มของพระพุทธองค์ ไม่ให้คลาดเคลื่อน หรือล้าสูไปตามยุคตามสมมุติ ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสน่าได้จูงแปรหลายไปนานาประเทศ จึงมีการดลอพระใครปฏิบาไว้เป็นภาษาของตน ทั้งนี้เพื่อเรียนไว้จ้างขึ้น และสามารถถ่ายทอดคำสอนออกมาได้อย่างถูกต้องตามพุทธประสงค์
การศึกษานั้น ถือว่า เป็นปัจจัยสำคัญอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาในทุกๆ ประการ สถาบันสงฆ์ของไทยเราได้พัฒนาศาสนาทายาทเป็นลำดับมา ด้วยการจัดการศึกษาภรณัษเป็นไปเพื่อพัฒนาตนเอง และสังคม ตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางแบบแผนไว้ ซึ่งเรียกชื่อว่า "*ใครลึกๆ" อันได้แก่ ศิล๑๑๑๑๑
ปัญฺญา๑๑ และแบ่งระดับชั้นของบุคคลผู้เข้าสู่ระบบการศึกษาไว้ โดยประเภท คือ ประเภทที่ ๑ เสดุผล หมายถึง ระดับของบุคคลผู้ต้องศึกษาอยู่ อย่างต่อเนื่อง
ประเภทที่ ๒ อเสบบุคคล หมายถึง ระดับของบุคคลผู้ผ่านการศึกษา และปฏิบิมาแล้ว
บุคคลทั้ง ๒ ประเภทดังว่า มีนั่นที่เสมอ อันอยู่ของนี้ คือ ชารงศรัณ และประกาศพรหมจรรย์ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของพุทธสาวกทั้งมวล และโดยหน้าที่เช่นนี้ คณะสงฆ์ได้วางระเบียบและจัดระบบการศึกษาที่มุ่งเน้นพัฒนาศานาทายายให้มีการพัฒนาและรักษาดำรงตามพระธรรมวินัย ดังนี้ สถาบันายกผู้เข้ารับการศึกษาไม่ว่าจะเป็นแนวไหน สาขาวิชาใดก็ทดา หากวิชาที่ศึกษานั้นเป็นไปเพื่อพัฒนาตนและผู้อื่น หรือไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนคนและผู้อื่นแล้ว ถือว่าได้ทำหน้าที่ของการเป็นพุทธสาวกในด้าน "ค้นคว้า" ได้อย่างสมบูรณ์แล้วในระดับนี้
การศึกษาพระวินัยธรรมของคณะสงฆ์ไทยเรานั้น อาจจะกล่าวได้ว่า มานานนับตั้งแต่ ภายหลังการสั่งสอน ครั้งที่ ๑ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าโกศมหาราช จัดส่งสมเด็จฯ ไปประกาศพระพุทธศาสนาในนานาประเทศ รวมทั้งประเทศไทยเรา ด้วย ซึ่งวิธีการเรียนการสอน ก็แตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย และส่วนใหญ่