สมานกาลภิริยาและปุพพากาลภิริยา อธิบายวากยสัมพันธ์ เล่ม 1 หน้า 174
หน้าที่ 174 / 195

สรุปเนื้อหา

เนื้อหาเกี่ยวกับสมานกาลภิริยา ซึ่งคือกิริยาที่ทำควบพร้อมกันกับกิริยาอื่น และปุพพากาลภิริยา เป็นการทำกิริยาก่อนที่จะทำกิริยาอื่นต่อไป การเข้าใจความหมายเหล่านี้ช่วยให้การแปลและการใช้งานในบริบทต่าง ๆ ถูกต้อง เทคนิคการแยกระหว่างสมานกาลภิริยาและปุพพากาลภิริยาแตกต่างกันที่การทำกิริยา หากทำพร้อมกันจะถือเป็นสมานกาลภิริยา หากทำเสร็จก่อนจะถือเป็นปุพพากาลภิริยา อาจเกิดความสับสนในการตีความหากไม่รอบคอบในการระบุความสัมพันธ์

หัวข้อประเด็น

-สมานกาลภิริยา
-ปุพพากาลภิริยา
-การตีความกิริยา
-ความสัมพันธ์ในภาษาไทย
-เทคนิคการแปลคำ

ข้อความต้นฉบับในหน้า

ประโยค - อธิบายความสัมพันธ์ เล่ม ๑ - หน้าที่ 171 สมานกาลภิริยา ค. ถ้าเป็นกิริยาที่พร้อมกันกับกิริยาอื่น เรียกว่า สมานกาลภิริยา อุตต์ คณะดุ คณะดุ ในที่นี้มีประสงค์คำดินกันร่วมไม่ได้มุ่งกิริยาที่จับร่วมกันก่อนแล้ว จึงไป อธิบาย: [๑] ข้อว่าเป็นกิริยาที่ทำพร้อมกันกับกิริยาอื่นนั้น คือ เป็นกิริยาที่ทำควบพร้อมกันไปกับกิริยาอื่น โดยมากกับกิริยาข้างหลัง ตน เช่น อู:- อุตต์ คณะดุ คณะดุ (ในแบบ) เดินกันร่ม คณะดุ สมานกาลภิริยาใน คณะดุ คำว่าหมายเอาว่า จับร่วมก่อนแล้วจึงไป คณะดุ เป็นปุพพากาลภิริยาใน คณะดุ คำที่ได้กล่าวแล้ว ในข้อปุพพากาลภิริยา. เพราะเหตุนี้ ก่อนที่จะบอกสัมพันธ์ พึงสังเกตความหมายในตอนนั้นก่อน: ถ้าหมายเอาว่าทำกิริยานั้นก่อนแล้ว จึงทำกิริยาอื่นต่อไป ก็เป็นปุพพากาลภิริยา ถ้าหมายเอาว่าทำควบพร้อมกันไปกับกิริยาอื่น ก็เป็นสมานกาลภิริยา ข้อนี้ในการแปลมีให้คำว่า แล้ว เช่น คณะดุ เปล่าว่า คือ หรือ กัน เฉย ๆ สมานกาลภิริยา เมื่อเพิ่งเข้า อาจพบได้บ่อย ๆ แต่ถ้าไม่เพิ่งก็จะเอาเป็นปุพพากาลภิริยาไปหมด ซึ่งเป็นการผิดความหมายที่เดียว มานี สมาปชิตวา นิสิทิ. [สมาวดี ๒/๒๖] นั่งเข้ามาน วาสตุตตตุ อาทาน ปลาย. [สมาวดี ๒/๒๗] ทรงพา
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More