ข้อความต้นฉบับในหน้า
พระเจ้าอชาตศัตรูจึงทูลปฏิเสธว่า “จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้เลยพระเจ้าข้า อันที่จริงหม่อมฉันเสียอีกควร
จะไหว้เขา ควรจะลุกรับเขา ควรจะเชื้อเชิญเขาให้นั่ง ควรจะบำรุงเขาด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
คิลานปัจจัย' เภสัชบริขาร ควรจะจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองเขาอย่างเป็นธรรม”
จากคำตอบของพระเจ้าอชาตศัตรูนี้จะเห็นได้ว่าพระองค์ได้ทรงประจักษ์แก่พระทัยของพระองค์เอง
แล้วว่า ผลดีของการบวชเป็นสมณะในขั้นต้นก็คือ “การยกสถานภาพของผู้บวชให้สูงขึ้นจากฐานะเดิม”
นั่นคือ แม้จะเป็นเพียงทาสหรือกรรมกร ซึ่งอยู่ในวรรณะศูทรอันเป็นวรรณะที่ต่ำต้อยที่สุดในสังคม แต่เมื่อ
บวชเป็นบรรพชิตแล้ว วรรณะกษัตริย์อย่างพระองค์ยังต้องให้ความเคารพกราบไหว้ และในขณะเดียวกัน
พระเจ้าอชาตศัตรูยังสามารถตรองเห็นคำสอน ที่แฝงอยู่ในคำถามสมมุติ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกว่า
1. คุณธรรมพื้นฐานที่ผู้บวชจะต้องมี คือ สัมมาทิฏฐิ หรือความเข้าใจถูกต้อง บางครั้งใช้ว่า
ความเห็นถูก เช่น เห็นว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว โลกนี้โลกหน้ามีจริง บุญ บาปมีจริง บุญให้ผลเป็น
ความสุข แต่บาปให้ผลเป็นความทุกข์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ดังนี้เป็นต้น
2. ผู้บวชต้องเข้าใจว่า วัตถุประสงค์ของการบวช คือ การสร้างบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะ
บุญสามารถเอื้ออำนวยให้คนเราเจริญก้าวหน้า ทั้งทางโลกและทางธรรม ส่วนบาปนั้นส่งผลให้ชีวิตคนเรา
ตกต่ำลงเรื่อยๆ
3. เมื่อบวชแล้วต้องสำรวม กาย วาจา ใจ ไม่ปล่อยใจให้คิดในทางบาปอกุศล คิดแต่ในทางบุญ
กุศล ทำแต่บุญกุศลเท่านั้น
4. เมื่อบวชแล้วต้องอยู่อย่างสันโดษ คือ พอใจในปัจจัยอันเป็นเครื่องดำรงชีวิตของสมณะตาม
มีตามได้ ไม่ปรารถนาความฟุ้งเฟ้อ ความสะดวกสบาย สุรุ่ยสุร่าย เยี่ยงชีวิตฆราวาส
5. เมื่อบวชแล้วต้องรักชีวิตที่เงียบสงบ ไม่เอิกเกริกครึกครื้น สนุกสนาน
ฝึกใจให้เป็นสมาธิได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้มีโอกาส
เพียงเท่านี้ ก็ย่อมทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูเข้าพระทัยได้ในทันทีว่า พระเทวทัตที่พระองค์ทรงหลง
คบหาสมาคมด้วยนั้น มิได้มีคุณลักษณะของความเป็นสมณะอยู่เลยแม้เพียงน้อยนิด ฉะนั้น การหลงคบมิตรชั่ว
' คิลานปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยสําหรับคนไข้
* สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ แบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ 1. สัมมาทิฏฐิขั้นพื้นฐาน (ขั้นโลกียะ) หมายถึง การเห็นชอบ
ตามทำนองคลองธรรมว่า การให้ทานมีผลดีจริง การบูชาบุคคลที่ควรบูชามีผลดีจริง การต้อนรับแขกมีผลจริง ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่ว
มีจริง โลกนี้โลกหน้ามีจริง มารดาบิดามีคุณต่อเราจริง สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมีจริง (นรกสวรรค์มีจริง) สมณพราหมณ์ที่หมดกิเลส
แล้วมีจริง 2. สัมมาทิฏฐิขั้นสูง (ขั้นโลกุตตระ) หมายถึง การเห็นถึงความเป็นจริงของโลกและชีวิต คือ เห็นอริยสัจ 4 เห็น
ปฏิจจสมุปบาท เห็นขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 ตามความเป็นจริง ด้วยญาณทัสสนะอันเกิดจากการปฏิบัติธรรม
บ ท ที่ 5 ส า ม ญ ญ ผ ล เ บื้ อ ง ต้ น DOU 49