ข้อความต้นฉบับในหน้า
คำที่ 2 “สังวร” หมายถึง สำรวมระวัง
คำที่ 3 “ศีล” หมายถึง ภาวะปรกติ
ดังนั้น “อินทรียสังวรศีล” จึงหมายถึง “ภาวะปรกติในการสำรวมระวังอินทรีย์ทั้ง 6”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระเจ้าอชาตศัตรูว่า
“มหาบพิตร อย่างไรภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย
มหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ
เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ (สำรวมตา) ที่เมื่อไม่สำรวมแล้วจะเป็นเหตุ
ให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌา และโทมนัสครอบงำ... ภิกษุฟังเสียงด้วย
โสต... ดมกลิ่นด้วยมานะ..... ลิ้มรสด้วยชิวหา..... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...
รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติ
เพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้วจะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ
อภิชฌาและโทมนัสครอบงำ จึงรักษามนินทรีย์ ถึงความสำรวมในมนินทรีย์
ภิกษุประกอบด้วยอินทรียสังวรอันเป็นอริยะเช่นนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคน
ด้วยกิเลสในภายใน มหาบพิตร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์
ทั้งหลายด้วยประการดังกล่าวมานี้แล
จากพระดำรัสที่ยกมานี้ มีคำศัพท์ที่พึงทำความเข้าใจอยู่หลายคำ คือ
“ทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย” หมายถึง “อายตนะภายใน 6” เหตุที่ใช้คำว่า “ทวาร” ซึ่งแปลว่า ประตู
ก็เพราะอายตนะภายในทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นทางเปิดรับอายตนะภายนอกทั้ง 6
คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ (อารมณ์ที่รู้ด้วยใจ) อายตนะภายในจึงเป็นเสมือน
“ประตู” ที่เปิดรับบุคคลภายนอกเข้ามาในบ้าน ส่วนอายตนะภายนอกทั้ง 6 นั้น มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
“อารมณ์ 6”
“เห็นรูปด้วยจักษุ” โบราณาจารย์ทั้งหลายอธิบายว่า ลำพังจักษุหรือตาเห็นรูปไม่ได้ เพราะ
ไม่มีใจ ลำพังใจก็เห็นรูปไม่ได้ เพราะไม่มีประสาทตา แต่ขบวนการของการเห็นจะต้องประกอบด้วยองค์ 3
คือ ตา รูป และใจ กล่าวคือ จักษุ (ทวาร) กับรูป (อารมณ์) กระทบกัน บุคคลย่อมเห็นรูปนั้นได้ด้วยใจ เมื่อ
ใจรับรู้อารมณ์ทางตาแล้ว ย่อมทำให้เกิดการเห็นขึ้น นี่คือความหมายของ “เห็นรูปด้วยจักษุ” บางแห่ง
ท่านใช้ “เห็นรูปด้วยจักษุวิญญาณ” “วิญญาณ” ในที่นี้หมายถึง การรับรู้ด้วยใจ ในขณะที่อายตนะภายใน
และภายนอกกระทบกัน
* สามัญญผลสูตร ที. ส. 9/122/93
บ ท ที่ 6 คุ ณ ธ ร ร ม ที่ ทำ ใ ห้ เ ป็ น ผู้ บ ริ สุท ธิ์ DOU 89