การวัดคุณภาพของคนในสังคม SB 304 ชีวิตสมณะ หน้า 173
หน้าที่ 173 / 209

สรุปเนื้อหา

บทความนี้กล่าวถึงความสำคัญของการมีประเพณีดีงามในสังคม เพื่อลดปัญหาร้ายแรง และวิธีในการวัดคุณภาพของคน โดยเฉพาะในบริบทของนักเรียนและพระภิกษุ การมีโยนิโสมนสิการในการคิด พูดและทำเป็นสิ่งสำคัญ พร้อมคำแนะนำในการปฏิบัติตนตามหลักศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการบวช พูดถึงการรักษาศีลและการเป็นคนดีในสังคม เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของคนที่ไม่จริงใจ การพัฒนาคุณธรรมที่บริสุทธิ์จะนำไปสู่วิชชา 8 และการหลุดพ้นในที่สุด การปฏิบัติตามหลักจะนำไปสู่คุณค่าที่แท้จริงในสังคมของเรา เช่นเดียวกับการรักษาหน้าที่ในฐานะนักศึกษาและพระภิกษุ

หัวข้อประเด็น

-การวัดคุณภาพของคน
-โยนิโสมนสิการ
-หน้าที่ในสังคม
-พระพุทธศาสนา
-การศึกษา

ข้อความต้นฉบับในหน้า

ถ้ามีประเพณีที่ดีงามเช่นนี้เกิดขึ้นในสังคมของเรา มีคนตระหนักในเรื่องของบาปบุญมากขึ้น ปัญหายุ่งเหยิงร้ายแรงต่างๆ ในสังคมยุคโลกาภิวัตน์ของเรานี้ จะต้องลดลงอย่างแน่นอน 9.14 เกณฑ์วัดคุณภาพของคน ได้กล่าวแล้วว่า คนดีต้องมีโยนิโสมนสิการ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนดีย่อมคิดดี พูดดี และ ทำดี แต่บางทีคนที่พูดดีและทำดีกับเราก็ใช่ว่าเขาจะคิดดีกับเราเสมอไป บางคนอาจทำเพียงเพื่อลวงให้เรา ตายใจว่าเขาเป็นคนดี หลงคบค้าสมาคมกับเขา กว่าจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนดีอย่างที่คิดก็อาจสายไปเสียแล้ว ดังนั้นจึงมีคำถามว่า “เราจะมีเกณฑ์อย่างไรสำหรับวัดว่า ใครเป็นคนดีหรือไม่ดี” คำตอบก็คือ “คนดีจะต้องทำหน้าที่ของตนตามวัตถุประสงค์” นี่คือเกณฑ์วัดคุณภาพของคน ถ้าทำผิดวัตถุประสงค์ แม้ได้ประโยชน์ก็ไม่ถูกต้อง เช่น นักเรียนนักศึกษามีหน้าที่ศึกษาเล่าเรียน ไม่ใช่ไปเดินขบวนต่อต้านคัดค้านกรณีต่างๆ ทางการเมือง แต่ในยามคับขันที่นักศึกษาจำเป็นต้องเข้าร่วม แสดงบทบาท เพื่อพิทักษ์อธิปไตยสูงสุดของชาติบ้านเมืองไว้ ก็ย่อมทำได้ แต่เมื่อเสร็จแล้วจะต้องรีบกลับ เข้าห้องเรียน หรือการที่นักศึกษาออกไปทำงานสังคมสงเคราะห์ในบางครั้งบางคราวก็ย่อมทำได้ แต่ถ้าทำ เป็นประจำจนไม่เป็นอันศึกษาเล่าเรียน ย่อมถือว่าทำผิดวัตถุประสงค์ จัดว่าเป็นนักศึกษาที่ดีไม่ได้ คราวนี้ ลองหันมาพิจารณาพระภิกษุในพระพุทธศาสนาดูบ้าง พระพุทธศาสนานั้นมีหลักฝึกตนอยู่ 3 ข้อ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าภิกษุรูปใดไม่ทำหน้าที่ตามหลักดังกล่าว ย่อมได้ชื่อว่าไม่ทำหน้าที่ตาม วัตถุประสงค์ ตัวอย่างเช่น พระภิกษุที่มุ่งประกอบอาชีพติรัจฉานวิชา ด้วยการดูโชค ดูเคราะห์ ให้ฤกษ์ วิวาหมงคล ใบ้หวย ทำการผ่าตัด รักษาโรค ฯลฯ เหล่านี้ หากกระทำเป็นครั้งคราว เพื่อเป็นการให้กำลังใจ แก่ญาติโยม ก็คงจะไม่เสียหายอะไรนัก แต่ถ้าทำเป็นประจำ ย่อมถือได้ว่าภิกษุนั้นไม่ทำหน้าที่ตาม วัตถุประสงค์ของพระพุทธศาสนา จึงยากที่จะบรรลุสามัญญผลตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ในสามัญญผลสูตรนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ชัดแจ้ง ถึงลำดับแห่งการทำจิตให้ บริสุทธิ์ พร้อมทั้งการเกิดผลแต่ละขั้น ที่เนื่องมาจากการประกอบเหตุ โดยเริ่มจากการรักษาศีลให้บริบูรณ์ บริสุทธิ์ การสำรวมระวังอินทรีย์ การมีสติสัมปชัญญะ และสันโดษ เมื่อสามารถปฏิบัติคุณธรรมเหล่านี้ ได้ บริสุทธิ์บริบูรณ์อย่างแท้จริง แล้วลงมือทำสมาธิ ย่อมละนิวรณ์ได้ เมื่อละนิวรณ์ได้แล้ว จิตย่อมเป็นสมาธิ มั่นยิ่งขึ้น ย่อมสามารถบรรลุฌานไปตามลำดับ จากปฐมฌานถึงจตุตถฌาน เมื่อจิตเป็นสมาธิมั่นยิ่งขึ้น ย่อมบรรลุวิชชา 8 และความหลุดพ้นในที่สุด ถ้าพระภิกษุไม่สามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้แล้ว จะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ ของการบวชได้อย่างไร เมื่อภิกษุไม่ได้ทำหน้าที่ตามพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ย่อมยากที่จะบรรลุเป้าหมาย 162 DOU ชี วิ ต ส ม ณ ะ
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More