ข้อความต้นฉบับในหน้า
5. ทรงเป็นผู้รู้แจ้งโลก
6. ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
7. ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
8. ทรงเป็นผู้เบิกบานแล้ว
9. ทรงเป็นผู้จำแนกธรรม
พระพุทธคุณอันประเสริฐยิ่ง ทั้ง 9 ประการนี้ พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายขยายความไว้โดยพิสดาร
ซึ่งอาจกล่าวสรุปได้ดังนี้
5.4.1 ทรงเป็นพระอรหันต์
“อรหันต์” เป็นเนมิตกนาม คือ นามที่เกิดขึ้นตามลักษณะและคุณสมบัติ ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับ
เมื่อพระพุทธองค์ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ อรหันต์เป็นนามเหตุ พระคุณนามอีก 8 ข้อที่เหลือนั้น
เป็นนามผล คำว่า อรหันต์ มีความหมายเป็น 4 นัย คือ
นัยที่ 1 ไกลจากข้าศึก “ข้าศึก” หมายถึงกิเลส พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ไกลจากกิเลส ทั้งนี้
เพราะทรงกำจัดกิเลสทั้งปวงด้วยมรรคแล้วโดยสิ้นเชิง จึงทรงพ้นจากกิเลส ทรงบริสุทธิ์ผุดผ่องดุจดวงแก้ว
อันหาค่ามิได้ สมดังคำว่า พุทธรัตนะ เพราะเหตุนี้จึงทรงพระนามว่า “พระอรหันต์”
นัยที่ 2 ทรงหักกำจักร “กำจักร” หมายถึงกิเลสทั้งปวง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงหักกิเลส
เหล่านั้นด้วยศาสตรา คือ ปัญญา เพราะเหตุนี้จึงทรงพระนามว่า “พระอรหันต์”
นัยที่ 3 ทรงควรแก่ปัจจัย ทั้งนี้เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบริสุทธิ์หมดจดด้วยประการ
ทั้งปวง จึงทรงเป็นทักขิไณยบุคคลอันเลิศยิ่ง ย่อมควรแก่ปัจจัยและการบูชาเป็นพิเศษ ยิ่งกว่าพรหม เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย เพราะเหตุนี้ จึงทรงพระนามว่า “พระอรหันต์”
นัยที่ 4 ไม่ทรงทำชั่วในที่ลับ โดยเหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำจัดกิเลส ตัณหา และอวิชชา
ทั้งปวง ด้วยมรรคและญาณโดยสิ้นเชิงแล้ว พระทัยจึงมั่นคงดังเสาเขื่อน ไม่แปรผันยินดียินร้ายประการใด
การทำกรรมชั่วทั้งหลาย แม้ในที่ลับ ย่อมไม่มีแก่พระองค์ผู้คงที่ เพราะเหตุนี้ จึงทรงพระนามว่า “พระ
อรหันต์”
- พระวิสุทธิมัคคี เผด็จ เล่ม 2 หน้า 556
52 DOU ชี วิ ต ส ม ณ ะ