ข้อความต้นฉบับในหน้า
ได้เอง ทั้งยังจะช่วยพัฒนาความรู้สึกอบอุ่นและสัมพันธภาพอันดีระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก ทำให้ไม่มีช่องว่าง
ระหว่างวัย อันจะเป็นผลดีในการอบรมเลี้ยงดูบุตรของมารดาบิดา และผู้ปกครองทั้งหลายด้วย
9.13 การอบรมเยาวชนต้องการความร่วมมือจากผู้ปกครอง
เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปแล้วว่า การสร้างคนดีนั้นต้องอบรมกันตั้งแต่เด็กๆ ดังคำพังเพยว่า
“ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก” ในสมัยโบราณนั้น ปู่ย่าตายายของเรา ได้ส่งลูกหลานเข้าไปรับการศึกษา
อบรมกันตามวัดต่างๆ บรรดาครูผู้สอนก็คือ พระภิกษุนั่นเอง วิชาที่เล่าเรียนกัน นอกจากการเรียนภาษาแล้ว
ก็จะเน้นหนักเรื่องธรรมะในพระพุทธศาสนา ส่วนวิชาชีพนั้นต้องออกมาแสวงหากันเองในภายหลัง ทั้งนี้
ย่อมแสดงให้เห็นว่าบรรพบุรุษของเรานั้น ท่านถือว่า “เรื่องของคุณธรรมสำคัญกว่าวิชาชีพ” จึงต้องรีบ
ปลูกฝังกันตั้งแต่ยังเยาว์
นอกจากนี้ บรรดาชายหนุ่มเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์แล้ว ก็จะต้องอุปสมบทเป็นพระภิกษุ
อย่างน้อยหนึ่งพรรษา เป็นประเพณีสืบทอดกันมานานแสนนาน เพื่อเรียนรู้คุณธรรมกันอย่างจริงจัง ก่อนที่
จะเริ่มทำมาหาเลี้ยงชีพหรือมีครอบครัว ชายใดที่บวชเรียนแล้วก็จะได้รับการยกย่องนับถือจากสังคม ดังมี
สำนวนชาวบ้าน เรียกผู้บวชเรียนแล้วว่า “คนสุก” ส่วนชายที่ยังไม่ได้บวชก็ถือว่ายังเป็น “คนดิบ” อยู่
ศัพท์ 2 คำนี้ คงจะใช้เทียบกับผลไม้หรืออาหารนั่นเอง ผลไม้หรืออาหารใดๆ ที่ “สุก” แล้ว ย่อมมีคุณค่า
ควรแก่การบริโภค ส่วนที่ยัง “ดิบ” นั้นยังด้อยคุณค่า ต้องรอเวลาพัฒนาต่อไป
โดยที่บรรดาชายหนุ่มในสมัยโบราณ ได้รับการศึกษาเล่าเรียนและการสั่งสอนอบรมจากพระภิกษุ
สงฆ์มาแต่เยาว์วัย ครั้นเมื่อบรรลุนิติภาวะก็ยังได้โอกาสอุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกระยะหนึ่ง บางท่านก็บวชอยู่
หลายปีจึงลาสิกขา การฝึกอบรมเหล่านี้ คือช่วงเวลาแห่งการปลูกฝังสัมมาทิฏฐิ และโยนิโสมนสิการ
ลงในจิตใจของพลเมืองในชาติ ซึ่งอย่างน้อยก็ทำให้เขาสามารถแยกแยะระหว่างดีกับชั่ว บุญกับบาป
ผิดกับถูก ควรกับไม่ควร ทั้งสามารถนำไปปฏิบัติได้ในชีวิตจริง ไม่ต้องสั่งสมบาปไปตลอดชีวิต
ครั้นเมื่อชายเหล่านี้ออกไปประกอบอาชีพ ก็สามารถควบคุมรักษาตนเองให้ตั้งอยู่ในคุณธรรมได้
เมื่อถึงคราวมีครอบครัวก็เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี สามารถอบรมปลูกฝังคุณธรรมในพระพุทธศาสนาให้
แก่บรรดาลูกหลาน และสมาชิกในครอบครัวได้เป็นอย่างดีเพราะเหตุนี้ในอดีตจึงไม่ใคร่จะมีเรื่องหยาบช้าลามก
หรืออาชญากรรมร้ายแรง ดังที่ปรากฏขึ้นมากมายในปัจจุบัน
ครั้นสมัยต่อมา เมื่อการศึกษาของชาติเจริญขึ้น มีสถาบันการศึกษาเกิดขึ้นมากมายถึงระดับ
อุดมศึกษาชั้นสูงสุด หลายฝ่ายจึงมองข้ามความสำคัญของการศึกษาในวัด และการบวชอันเป็นประเพณีที่
ดีงามของเราไปเสีย มิหนำซ้ำมารดาบิดาตลอดจนผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ต่างก็เห็นว่าผู้ที่จบมหาวิทยาลัย
แล้ว ย่อมเป็นคนดีเอง จึงไม่สนับสนุนให้บุตรหลาน บวชเรียนหรือศึกษาพระพุทธศาสนากัน ความเห็นเช่นนี้
158 DOU ชี วิ ต ส ม ณ ะ