พระสัมมาสัมพุทธเจ้า: ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ SB 304 ชีวิตสมณะ หน้า 64
หน้าที่ 64 / 209

สรุปเนื้อหา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยถูกต้องหรือ 'สัมมาสัมพุทโธ' โดยมีคุณวิเศษ 5 ประการ คือ จกฺขุ, ญาณ, ปญฺญา, วิชชา และ อาโลโก ซึ่งรวมความหมายว่า 'ทั้งรู้ทั้งเห็น' พระองค์พบเห็นความเป็นจริงโดยไม่ผ่านการสอนจากผู้อื่น และสามารถตรัสรู้สภาวะต่าง ๆ เช่น เหตุแห่งทุกข์ สุข และไม่ทุกข์ไม่สุข (อัพยากฤต) อย่างแจ่มแจ้ง เพื่อยังผลให้เกิดการดับเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างสมบูรณ์ เพราะทรงมีความเป็น 'อรหันต์' ด้วยอำนาจสมาธิที่บริสุทธิ์ ทำให้เข้าถึงธรรมชาติอันประเสริฐ. คู่มือเพื่อเข้าใจความหมายของการตรัสรู้ในแนวทางที่ลึกซึ้ง.

หัวข้อประเด็น

-ความหมายของสัมมาสัมพุทโธ
-คุณวิเศษ 5 ประการ
-การตรัสรู้และความเป็นจริง
-เหตุและผลแห่งทุกข์
-ความเป็น ‘อรหันต์’

ข้อความต้นฉบับในหน้า

5.4.2 ทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “สัมมาสัมพุทโธ” แปลตามศัพท์ว่า ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบ หรือโดยถูกต้อง เมื่อพิจารณาพระบาลีในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่ว่า “จกข์ อุทปาทิ ญาณ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ ฯ” จะเห็นว่าคุณวิเศษ 5 อย่าง ดังบาลีที่ยกขึ้นกล่าวนี้ จะเป็นความหมายของคำว่า “พุทโธ” กล่าว คือ จกฺขุ ความเห็น ญาณ์ ความรู้ ปญฺญา ความรู้ชัด วิชชา ความรู้แจ้ง และ อาโลโก แสงสว่าง ทั้ง 5 อย่างนี้ ประมวลเข้าด้วยกันรวมเป็นคำแปลของคำว่า “พุทโธ” ถ้าจะแปลให้สั้นเข้า “พุทโธ” ก็ต้องแปลว่า “ทั้งรู้ทั้งเห็น” มิใช่รู้เฉยๆ โดยอาศัยคำว่า จกฺขุ ญาณ ที่ว่า “เห็น” นั้น มิได้มีความหมายว่าเห็นอย่างตาคนธรรมดาเห็น แต่พระองค์เห็นด้วยธรรมจักษุ สิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงรู้เห็นนั้น ตรงตามความเป็นจริงทั้งสิ้น มิใช่คาดคะเนหรืออนุมานเอา จึงได้ชื่อว่า “ตรัสรู้” คำว่า “ส้ม” ที่นำหน้า “พุทโธ” นั้นแปลว่า ด้วยพระองค์เอง ไม่มีผู้อื่นสั่งสอน ส่วนคำว่า “สัมมา แปลว่า “โดยชอบ” หรือ “โดยถูกต้อง” ดังนั้นพระองค์จึงเป็น “สัมมาสัมพุทโธ” คือ “ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ” เพราะทรงรู้เห็นตรงตามความเป็นจริงโดยลำพังพระองค์เอง มิได้มีผู้ใดสอน สาเหตุที่พระองค์ทรงสามารถตรัสรู้ด้วยพระองค์เองได้ ก็เพราะความเป็น “อรหันต์” ของพระองค์ ดังกล่าวแล้วนั่นเอง เนื่องจากอำนาจสมาธิทำให้จิตของพระองค์สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากอาสวะทั้งปวง ซึ่งนอกจากจะใสสว่างแล้วยังหยุดนิ่ง จึงมีสิ่งที่ผุดขึ้นในนิ่ง ทำให้รู้ พระองค์ก็ทรงรู้ไปตามนั้น ทำนอง เดียวกับน้ำในโอ่งที่นอนนิ่งสนิท ใสบริสุทธิ์แล้ว แม้มีเข็มอยู่ก้นโอ่งก็สามารถมองเห็นได้ ที่กล่าวว่าพระองค์ตรัสรู้โดยถูกต้องนั้น หมายความว่า “ตรัสรู้ทั้งเหตุ ตรัสรู้ทั้งผล” กล่าวคือ ตรัสรู้ เหตุแห่งทุกข์ เหตุแห่งสุข เหตุไม่ทุกข์และไม่สุข คือ สภาพเป็นกลางๆ หรือเรียกว่า “อัพยากฤต” เหตุแห่งทุกข์ก็คือ อกุศลมูลทั้ง 3 ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ หรือโลภ โกรธ หลง เหตุแห่งสุขก็ ตรงกันข้ามกับเหตุแห่งทุกข์ คือ กุศลมูล ได้แก่ อโลภะ อโทสะ อโมหะ หรือไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เหตุแห่ง ไม่ทุกข์ไม่สุขหรืออัพยากฤต ก็คือสภาพเป็นกลางๆ ไม่เป็นทั้งกุศลหรืออกุศล สิ่งที่ลึกซึ้งกว่านี้ก็คือ ทรงตรัสรู้เหตุที่ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ในสังสารวัฏโดยมิรู้จบสิ้น รวมทั้งตรัสรู้วิธีดับเหตุเหล่านั้นได้อย่างสิ้นเชิง โดยสรุปก็คือ ทรงตรัสรู้ “อริยสัจ” ซึ่งมีทั้งเหตุและผล อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากทรงรู้และเห็นแจ้งแทงตลอด ในสัจธรรมอันประเสริฐเช่นนั้น พระองค์จึงทรงพระนามว่า “สัมมาสัมพุทโธ” คือ ทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ธรรมจักษุ คือ ตาธรรมกาย หรือ การเห็นของธรรมกาย บทที่ 5 ส ามั ญ ญ ผลเบื้ อ ง ต้ น ลเบื้อ DOU 53
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More